โมดริชประกาศอำลา เรอัล มาดริด อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจบศึกฟุตบอลสโมสรโลกในสหรัฐฯ ซึ่งเรอัล มาดริดแพ้ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 0-4 ในรอบรองชนะเลิศ และถือเป็นเกมสุดท้ายในสีเสื้อราชันชุดขาวของเขา

กุนซือ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี ซึ่งกลับมาคุมทีมเอซี มิลานรอบสองแทนเซร์คิโอ คอนไซเซา กล่าวถึงลูกทีมใหม่ว่า “โมดริชเป็นนักเตะที่พิเศษอย่างแท้จริง” โดยเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ผ่านช่องทางของสโมสรว่ารู้สึกมีความสุขที่ได้เริ่มต้นบทใหม่ของชีวิตค้าแข้ง

โมดริชย้ายจากสเปอร์สไปร่วมทัพมาดริดในปี 2012 ก่อนคว้าถ้วยแชมป์ถึง 28 รายการ ตลอด 13 ปีในถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว รวมถึง แชมเปียนส์ลีก 6 สมัย และลาลีกา 4 สมัย พร้อมคว้ารางวัล บัลลงดอร์ ปี 2018 และกลายเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร

เขาลงเล่นให้มาดริดทั้งหมด 597 นัด ยิงได้ 43 ประตู และยังแสดงความตั้งใจจะรับใช้ทีมชาติโครเอเชียในฟุตบอลโลก 2026 ที่จะจัดในแคนาดา เม็กซิโก และสหรัฐฯ

ทั้งนี้ เอซี มิลานจบอันดับ 8 ในเซเรีย อาฤดูกาลที่ผ่านมา และพลาดโควตาไปเล่นฟุตบอลยุโรป ทำให้การเซ็นสัญญากับโมดริชถูกมองว่าเป็นการเสริมประสบการณ์เพื่อยกระดับทีมสำหรับฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง