พร้อมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับเชลซี โดยเกมนี้อดีตแข้งเก่าของมาดริดอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ต้องพบกับค่ำคืนสุดเจ็บปวดจากทีมเก่าที่เขาเพิ่งทิ้งมา

PSG ออกนำอย่างรวดเร็วในนาทีที่ 6 จาก ฟาเบียน รุยซ์ และตามด้วยประตูของ อุสมาน เดมเบเล่ นาทีที่ 9 ก่อนรุยซ์จะมาบวกเพิ่มอีกลูกในนาทีที่ 30 จากการประสานงานสุดสวยของ อาชราฟ ฮาคิมิ ที่ลากจากแดนตัวเองมาจ่ายให้จบสกอร์

แม้มาดริดจะพยายามตั้งเกม แต่ก็แทบไม่มีโอกาสเข้าทำที่ชัดเจน ตลอดครึ่งแรกพวกเขาครองบอลเพียง 22% และต้องพึ่งซูเปอร์เซฟหลายครั้งจาก ติโบต์ กูร์กตัวส์ ขณะที่แนวรับพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้ง ราอูล อเซนซิโอ และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ต่างก็เสียบอลให้เดมเบเล่จนกลายเป็นประตู

แนวรุกอย่าง เอ็มบัปเป้, วินิซิอุส จูเนียร์ และจู๊ด เบลลิงแฮม ไม่มีบทบาทในเกมนี้ โดยเฉพาะเอ็มบัปเป้ที่แม้จะพยายามพิสูจน์ตัวเองในการเจอกับทีมเก่า แต่กลับถูกแนวรับ PSG ปิดตาย และเล่นงานได้ตลอดทั้งเกม โดยไฮไลต์คือการที่ ควิชา ควารัตสเคเลีย ฉกบอลจากเอ็มบัปเป้ก่อนโชว์ลูกไขว้ลอดขาใส่อาร์ดา กูเลอร์

ครึ่งหลังเกมเริ่มผ่อนลง โดยหลุยส์ เอ็นริเก้ ถอดตัวหลักอย่าง เดมเบเล่, รุยซ์, ควารัตสเคเลีย ออกพัก แต่เกมรุกยังไหลลื่น กระทั่งนาทีที่ 87 แบรดลีย์ บาร์โคล่า จ่ายให้ กอนซาโล รามอส ปิดท้ายสกอร์ 4-0 อย่างเหนือชั้น

นี่คือชัยชนะที่ตอกย้ำคำพูดของหลุยส์ เอ็นริเก้ ที่เคยบอกเอ็มบัปเป้ว่า หากทำตามแนวทางของเขา PSG จะกลายเป็น “เครื่องจักรไร้เทียมทาน” และวันนี้พวกเขาก็แสดงให้โลกเห็นแล้วว่าคำพูดนั้นไม่เกินจริง