โดยเฉพาะ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่ถูกอดีตทีมเก่ากลบแสงอย่างหมดสิ้น ในขณะที่ อุสมาน เดมเบเล่ ฉายแววเป็นนักเตะคนสำคัญของ PSG อย่างแท้จริง

เกมยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง PSG ก็ออกนำไปถึง 3-0 จากสองประตูของ ฟาเบียน รุยซ์ และอีกหนึ่งจาก เดมเบเล่ ที่ทั้งทำเกมและไล่บีบกดดันแนวรับมาดริดได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการประสานงานกับ อาชราฟ ฮาคิมิ ทางฝั่งขวาที่ทำให้แนวรับมาดริดเสียกระบวนไปหมด

ขณะเดียวกัน เอ็มบัปเป้ ซึ่งลงเล่นนัดแรกกับ PSG หลังย้ายออกเมื่อปี 2024 แทบไม่มีบทบาทใด ๆ ในเกมนี้ และถูกเล่นงานอย่างหนักโดยแนวรับ PSG รวมถึงนักเตะหนุ่มอย่าง ชูเอา เนเวส และ ควิชา ควารัตสเคเลีย ที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นและไม่เกรงกลัวสตาร์ดังของมาดริดแม้แต่น้อย

แนวรุกของมาดริดที่มี เอ็มบัปเป้, วินิซิอุส และเบลลิงแฮม กลับเล่นได้ไม่ลงตัวเท่ากับตอนใช้ กอนซาโล การ์เซีย ดาวรุ่งที่เคยลงเล่นในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งระบบการเล่นที่ ชาบี อลอนโซ พยายามนำมาใช้หลังรับช่วงต่อจากอันเชล็อตติ ยังไม่ชัดเจนว่าจะพาไปได้ไกลแค่ไหน

ด้าน PSG ภายใต้การคุมทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ แสดงให้เห็นถึงทีมเวิร์กและโครงสร้างที่แข็งแกร่ง การกดดัน, การสอดประสานในแนวรุก และความสมดุลในแดนกลางจาก เนเวส, วิตินญ่า และรุยซ์ ทำให้เกมนี้พวกเขาแทบไม่เปิดโอกาสให้มาดริดได้ตอบโต้

ครึ่งหลัง PSG ผ่อนเกมเพื่อเก็บแรงไว้ดวลเชลซีในรอบชิงฯ แต่ก็ยังได้ประตูเพิ่มจาก กอนซาโล รามอส ที่ยิงผ่านติโบต์ กูร์กตัวส์ ทำให้จบเกมด้วยสกอร์ 4-0

ผลการแข่งขันนี้ไม่เพียงแค่ตอกย้ำความแข็งแกร่งของ PSG หลังยุคเอ็มบัปเป้ แต่ยังทำให้เกิดคำถามว่ามาดริดอาจเลือกผิดคน เมื่อทุ่มเงินคว้าเอ็มบัปเป้มาแทนที่จะมองเห็นคุณค่าของเดมเบเล่ที่กำลังกลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของทีมที่สมบูรณ์แบบ