Eden Lamb: ท็อดด์ โบห์ลี่ คือ เสี่ยหมี เวอร์ชั่นช็อปมาจาก Lazada

ผมจะมาอธิบายความเป็น “เสี่ยหมี เซิ่นเจิ้น” ของ ท็อดด์ โบห์ลี่ ให้คุณฟัง เพราะนอกจากสินทรัพย์ที่มีมหาศาลเหมือนกันแล้ว สิ่งแตกต่างมันถูกเรียกว่า “สมอง”
จากทีมที่ถูกยกยอว่าพร้อมก้าวขึ้นมาเป็น "ม้ามืด" ในการลุ้นแชมป์ สู่อันดับที่ 4 ในตารางโดยสมบูรณ์ ซึ่ง เชลซี ตามหลังจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล มากถึง 13 คะแนนเต็ม แถมแข่งมากกว่าอีก 1 เกม และเกมสุดสัปดาห์นี้ พวกเขามีคิวต้อฃบุกไปเยือนถิ่น เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม ของ ไบรท์ตัน ที่เพิ่งโชว์ฟอร์มแกร่งใช้นันยางชึบน้ำถีบ "สิงห์บลู" เองเนี่ยแหละตกรอบ เอฟเอ คัพ ไปแบบสาระยำใจ
ถ้าถามว่าจุดเปลี่ยนแห่งซีซั่นอยู่ใคร? คำตอบคงหนีไม่พ้นการบริหารทีมของ ท็อดด์ โบห์ลี่ และกุนซือใหญ่ เอ็นโซ มาเรสก้า กับแนวคิดการเลียลูกบอลทองคำของเจ้านายจนเปียกสะบัด โดยไม่สนว่าผลงานทีมจะเป็นอย่างไร
ไล่ตั้งแต่นโยบายซื้อผู้เล่นอายุไม่เกิน 26 ปี ที่แมร่งดูแล้วหลอกลวงประชาชน เพราะนอกจาก โทซิน อดาราบิโอโย่ กองหลังร่างใหญ่ที่ถูกดึงมาแบบไร้ค่าตัวจาก ฟูแล่ม ที่เหลือส่วนมากมีแต่พวกแข้งขนฮะมอยส์ยังไม่ขึ้นทั้งนั้น ทั้งที่แนวรับสัญชาติผู้ดีแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วว่า ประสบการณ์บนเวทีลูกหนังของเขาสามารถนำมาถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ได้มากกว่าเหล่าดาวเตะวัยรุ่น
พอทีมเริ่มเล่นเข้าขาเข้าทรงหน่อย ก็เริ่มยืดอกแอ็คกันจนน่าสาดน้ำร้อนใส่แบบในข่าว ผมไม่ได่กล่าวหาความมั่นโหนกของบอร์ดบริหารครั้งนี้แบบลอย ๆ นะครับ ความยึดติดกับปรัชญาที่มากเกินไปของ เชลซี นี่แหละคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมฟอร์มดิ่งลงเหวตั้งแต่เดือนธันวาคม ถ้านึกไม่ออกก็คำพูดอารมณ์แบบ “เมิงไปติดเก่งซะแล้วอ่ะ!”
เริ่มแรกเลยคือ เอ็นโซ มาเรสก้า เป็นหัวเรือใหญ่ที่บอร์ดบริหารสามารถคอนโทรลได้ กล่าวคือ ต้องจับจดอยู่กับโครงสร้างระยะยาวของสโมสร ระบบแบบแผนการเล่นจะต้องเป็นฟุตบอลสมัยใหม่ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ทำให้การแก้เกมในช่วงพักครึ่งแทบไม่เห็นความแตกต่างหรือเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้นำไปสู่แต้มที่หายไปถึง 15 คะแนน จาก 24 คะแนนเต็ม นับตั้งแต่ช่วงบ็อกซิ่ง เดย์ ที่โปรแกรมตัวเองก็ง่ายกว่าสโมสรอื่นเขา
แล้วหลวงพ่อวัดประชันอย่าง เอ็นโซ มาเรสก้า รู้ตัวหรือไม่กับสิ่งที่ทำลงไป? ถ้ามันรู้ตัวก็คงไม่เลือกที่จะปล่อยยืมตัว เจา เฟลิกซ์ เพลย์เมกเกอร์ค่าตัวแพง 52 ล้านยูโร ที่เพิ่งดึงมาร่วมทีมตอนต้นซีซั่น ไปให้กับ เอซี มิลาน ด้วยเหตุผลโง่ ๆ ว่า “เขาเล่นคล้ายกับ โคล พาลเมอร์ มากเกินไป” (แล้วทีแรกเมิงจะซื้อตัวมาเพื่อ??) มิหนำซ้ำ ยังปล่อยตัว เรนาโต้ เวก้า ฟูลแบ็คสารพัดประโยชน์ ไปให้กับ “ไอ้ม้าลาย” ยูเวนตุส ในราคายืมตัวเพียง 4 ล้านยูโร จนทีมประสบปัญหาไม่มีแข้งหมุนเวียน มาร์ก คูคูเรย่า ในตำแหน่งตัวริมเส้นกราบซ้าย
ก็ถ้ายืนยันหนักแน่นว่า เบน ชิลเวลล์ จะไม่มีพื้นที่ว่างในทีม เพราะต้องการปรับเรื่องอายุ ค่าเหนื่อย และสไตล์การเล่น ทำไมจึงเลือกปล่อยแคนดิเดตที่ตอบโจทย์ข้อนี้อย่าง เรนาโต้ เวก้า ไปล่ะ? เขาคุ้นชินกับการเล่นแผงมิดฟิลด์มาก่อน และไม่มีปัญหามากกับการปรับตัวไปเล่น อินเวิร์ท ฟูลแบ็ค สรุปแล้วมันเป็นเรื่องของโครงสร้างหรืออีโก้กันแน่?
ในตลาดนักเตะวันท้าย ๆ แฟนบอลทุกคนต่างเฝ้ารอ “เซอร์ไพร์ส ดีล” จากสโมสรรัก รอลุ้นกันนักว่าสโมสรที่เราซัพพอร์ตและลงทุนสนับสนุนเสื้อผ้าค่าตั๋วจะมีอะไรมาฉีกยิ้มเราได้บ้าง ซึ่ง แฟนบอลเชลซี ก็ได้เบิ่งเห็นตัวอักษรเต็ม Twitter ว่า “Here We Go” จากนักข่าวชาวอิตาเลียน ฟาบริซิโอ โรมาโน่ การซื้อสุดสำคัญอันเป็นความสั่นสะเทือนโพรงจมูกกว่า 167 ริกเตอร์ แฟนเชลซี พร้อมใจกันร้อง Here (We Go) กันทั้งตำบล
แมร่งซื้อเด็กบราซิลอายุ 18 ปี จากที่ไหนมาก็ไม่รู้นามว่า เปโดร ลิม่า ไอ้ฉิบหาย!!
กลับกัน ความคาราคาซังของ นิโกลาส แจ็คสัน กับปืนฝืดไม่มีกระสุนของเขาก็ยังคงอยู่ต่อไป โดยไม่มีการแก้ไขสักแอะ ทำให้เรื่องนี้ มาเรสก้า กับ พรี่ท็อดด์ ออกมาแก้ต่างด้วยคำพูดง่าย ๆ ว่า “อ่อ เราคิดว่ากองหน้าเราเพียงพอแล้วน่ะ”
เพียงพอบ้านป้าเมิงสิครับ…ไอ้ท็อดด์!
เขียนโดย Eden Lamb
The Lite Team

