Eden Lamb: ผลดี-ผลเสีย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รูปแบบใหม่
และวันนี้ก็เดินทางมาถึงนัดสุดท้ายในรอบเกมลีกของถ้วยยุโรปใหญ่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่มีประเด็นน่าสนใจมากมาย
มี 2 สโมสรที่การันตีเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย คือ ลิเวอร์พูล และ บาร์เซโลน่า สองมหาอำนาจลูกหนัง ผู้ทำคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งแบบไล่ให้ตายก็ไม่ทันแล้ว ทำให้พวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้ในการทดลองแผนใหม่ ๆ หรือส่งนักเตะที่ไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนัก มาลับเหลี่ยมแข้งเพื่อหมุนเวียนในค่ำคืนนี้ได้แบบชิล ๆ
ซึ่งหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ที่กำลังดิ้นรนและส่อแววตกรอบไปแบบน่าขายหน้าที่สุด คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของโค้ชมือทองอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ว่ากันว่าฝีมือฉกาจที่สุดแล้วในยุคนี้ แต่พวกเขากลับเก็บได้เพียง 8 คะแนน จาก 7 เกม ตามหลังอันดับเพลย์ออฟถึง 2 คะแนน
ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้มีแฟนบอลและนักวิจารณ์หลายฝ่าย เริ่มตั้งข้อสังเกตถึงข้อดีและข้อเสียในระบบใหม่ครั้งนี้ วันนี้เราจะมาดูแต่ละประเด็นไปพร้อมกันครับ
• ประเด็นที่ 1 มีสโมสรเพิ่มขึ้นมาในรายการนี้ 4 สโมสร จากปกติ 32 ทีมในรอบแบ่งกลุ่ม สู่ 36 ทีมในตารางคะแนน นั่นหมายถึงการมอบโอกาสสุดพิเศษให้กับทีมม้านอกสายตาได้มาเฉิดฉายกับเขาบ้าง ถามว่าดีไหม? ผมคิดว่าแล้วแต่มุมมองและวิจารณญาณ เพราะมันแลกมากับความยุ่งยากและความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น
เรื่องเงินนั้นสำคัญไฉน เม็ดเงินมหาศาลจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด หลั่งไหลเข้ากระเป๋าผู้จัดรายการแบบสะพัด เฉกเช่นเดียวค่าตั๋วและกิจกรรมต่าง ๆ ของทุกสโมสรที่ได้ลงนามแข่งขัน พวกเขาต่างได้ประโยชน์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับทีมใหญ่คงไม่ได้มองเศษสตางค์อะไรตรงนี้มาก แต่กับทีมระดับกลางนั้นถือว่าช่วยพยุงสถานะสโมสรได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
• ประเด็นที่ 2 แฟนบอลจะได้ดูเกมที่ตื่นเต้นและเร้าใจมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่เรามักให้ความสำคัญกับรายการยุโรปมากอยู่แล้ว การมีเกม Big Match เพิ่มขึ้นมาอีก 2 เกม แบบยังไม่นับรอบ เพลย์ ออฟ ย่อมเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจของบรรดาคนบ้ากีฬาลูกหนังขาสั้น ถ้าจะรู้สึกขัดแข้งขัดขาใครก็คงเป็นคนที่ต้องทำงานภาคสนามนั่นแหละ…
เคสนี้กระทบโดยตรงต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีนักเตะบาดเจ็บมากมายในช่วงครึ่งทางแรกของฤดูกาล นี่ปาเข้าไปสิ้นเดือนมกราคม 2025 แล้วนะครับ รอบแรกของเวทียุโรปยังไม่จบเลย นักเตะก็ยิ่งฟื้นฟูได้อย่างไม่เต็มที่ ถือเป็นคราวซวยของเหล่าซิตี้เซนส์ไปโดยปริยาย
• ประเด็นที่ 3 ความมั่นใจในช่วงต้นคือทุกสิ่ง ลองจินตนาการว่า คุณกำลังพาทีมตะลุยในโปรเจ็คต์ Super League ของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่อุดมไปด้วยกลุ่มคนหัวกะทิมารวมกัน หากคุณกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่ และไม่สามารถเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้ มันจะส่งผลกระทบไปแบบโดมิโน่ทันที
อันดับ 14-22 ในตารางคะแนน ประกอบไปด้วย โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, บาเยิร์น มิวนิค, เรอัล มาดริด, ปารีส แซงต์-เฌอแม็ง และ ยูเวนตุส ซึ่งมันผิดวิสัยของทีมที่ล้วนเคยคว้าโทรฟี่อันยิ่งใหญ่นี้ หรืออย่างน้อยก็เคยทะลุเข้าชิงชัยมาก่อน สาเหตุมันก็มาจากการที่พวกเขาไม่สามารถเก็บผลการแข่งขันในช่วงเริ่มต้นได้ พอมาเจอโปรแกรมเตะแบบถี่ ๆ ในช่วงเวลาที่ขาดความมั่นใจ ทุกอย่างก็เริ่มอยู่เหนือการควบคุม
แล้วพวกหัวตารางล่ะ? ดูเหมือนจะเป็นทีมที่เน้นความคงเส้นคงวา ไม่มีลูกผ่อนหรือลูกพลิกแพลงมากนัก (ไม่ว่าเผชิญหน้ากับทีมอะไร) และใช้งานกุนซือเป็นประเภทเขี้ยวลากดินกุมบังเหียนเสียส่วนมาก เช่น อาร์เน่อ ชล็อต, เซร์จิโอ คอนไซเซา, ดิเอโก้ ซิเมโอเน่, ฮานซี ฟลิค ฯลฯ จุดนี้เป็นเพียงข้อสมมุติฐานที่สร้างความแตกต่างได้ในระบบใหม่ของเวทียุโรป
นี่เป็นเพียงซีซั่นแรกกับการนำเข้า 36 สโมสรเข้ามาร่วมแข่งขันในระบบใหม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าการวิวัฒนาการของฟุตบอลในอนาคตจะออกมารูปแบบใด เพราะถือเป็นมิติใหม่น่าสนใจและสนุกไม่น้อยสำหรับวงการ
เขียนโดย Eden Lamb
The Lite Team