สภาลูกหนัง: เป๋มาทั้งคู่! ศึก ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้’ หนที่ 195
มาสู่ช่วงกลางเดือนพอดิบพอดี สำหรับศึกร่วมเมืองระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สารรูปดูไม่จืดกันเลย ณ เวลานี้
นับเป็นครั้งที่ 195 แล้วสำหรับ ดาร์บี้แมตช์ แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ หรือถ้านับเฉพาะใน พรีเมียร์ลีก ก็จะเป็นหนที่ 55 ที่ทั้งคู่ได้มาพบเจอกัน
ทั้ง 2 ทีมต่างก็มีช่วงเวลาที่ขึ้นมาผงาด ผลัดกันผูกขาดคว้าชัยชนะ โดยที่ในช่วงต้นของการเปลี่ยนชื่อลีกสูงสุดก็เป็นทางฟากของ ‘สีแดง’ ที่ชนะมาได้เกือบจะทุกครั้ง จนกระทั่งเข้าสู่ยุค 2000 ถึงจะมีการฮึดสู้จากทางฝั่ง ‘สีฟ้า’ ที่เบียดคว้าชัยมาได้บางคราว
และเมื่อเข้าสู่ยุคของกลุ่มทุนจาก อาบู ดาบี ก็กลายเป็นทางฟากของ แมนฯ ซิตี้ ที่แทบจะกดอยู่ฝ่ายเดียวทั้งเหย้าและเยือน รวมถึงการเปลี่ยนผ่านของตัวผู้จัดการทีมของ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากหมดยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
มาจนถึงทุกวันนี้ ‘เรือใบสีฟ้า’ ก็ได้ก้าวข้ามหลายสถิติของคู่แข่งร่วมเมืองไปแล้ว ทั้งการเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาได้ 4 สมัยติดต่อกัน รวมถึงยังขึ้นทาบเป็นทีมที่ 2 ที่สามารถคว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ มาได้สำเร็จ
ถ้าหากเราพิจารณาถึงความสำเร็จในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับเลยว่า ซิตี้ นั้นดีกว่าจริง ๆ และคงไม่ใช่เรื่องพลิกความคาดหมายแต่อย่างใด หากว่าพวกเขาเอาชนะ ยูไนเต็ด ไปได้แบบง่ายดายในเวลานี้
ดูได้จากสถิติที่เจอกันในลีก 5 นัดหลังสุดที่ แมนฯ ซิตี้ นั้นสามารถเอาชนะไปได้ถึง 4 หน และมีเพียงแค่เกมเดียวที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะมาได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์จากทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ค่อนข้างระส่ำระสาย โดยที่สามารถคว้าชัยชนะได้เพียงแค่เกมเดียวจาก 9 เกมหลังสุด และทำให้หล่นมาอยู่ในอันดับ 4 ถูกทิ้งห่างจากจ่าฝูงของลีกอย่าง ลิเวอร์พูล ไปแล้วถึง 8 คะแนนในเวลานี้
เช่นเดียวกันกับ รูเบน อโมริม ที่เพิ่งเข้ามาคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนที่ผ่านมา และดูเหมือนจะทรงดีขึ้น แต่ก็พลาดท่าพ่ายแพ้มาแล้ว 2 เกมติดต่อกัน และทำให้ร่วงลงไปอยู่ในครึ่งล่างของตารางคะแนนอีกครั้ง
อ่อ… ลืมบอกไปว่าบทความนี้ถูกเขียนขึ้นก่อนที่ทั้ง 2 ทีมจะได้ลงเล่นเกมยุโรปในช่วงกลางสัปดาห์นะครับ
ก็เข้าใจถึงสถานการณ์ของทั้งคู่แหละครับที่มาอยู่ในจุด ๆ นี้ ณ เวลานี้ ซึ่งทางด้านของ แมนฯ ซิตี้ ก็ต้องเผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานนักเตะหลายราย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือคีย์แมนของทีมอย่าง โรดรี้ ที่กองกลางนั้นยวบลงไปอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงตัวหลักคนอื่น ๆ ที่ดูแล้วยังคงไม่ได้มีความฟิตที่เต็มถังแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ในเวลานี้
ส่วนทางฟากของ ‘ปีศาจแดง’ ก็มีปัญหาตัวเจ็บอยู่บ้างเช่นกัน และยังมีเรื่องของการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่น รวมถึงความมุ่งมั่นของนักเตะ ที่ดูเหมือนจะทุ่มเทให้กับเฮดโค้ชคนใหม่แค่ช่วงแรก ๆ เท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่า อโมริม จะแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้อย่างไร
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากกรณีนี้ก็คือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ยิงไปถึง 30 ประตูจากในฤดูกาลแรกที่ เอริก เทน ฮาก เข้ามาคุมทีม ก่อนที่จะยิงได้เพียงแค่ 8 ประตูในฤดูกาลต่อมา เช่นเดียวกับในยุคของกุนซือชาวโปรตุเกส ที่ 2 เกมแรกยิงได้ 3 ประตู ก่อนที่จะเงียบหายเข้ากลีบเมฆในตอนนี้
อย่างที่เกริ่นไปแหละครับว่าสถิติในระยะหลังบ่งชี้ให้เห็นว่า แมนฯ ซิตี้ นั้นเหนือกว่าชัดเจน ด้วยสถิติการยิงใส่คู่ปรับร่วมเมืองไปถึง 17 ประตูและเสียไปแค่ 7 ประตูจาก 5 เกมหลังสุดในลีก
แต่ แต่ แต่… เมื่อดูจากสถิติในเวลานี้ของทั้ง 2 ทีมใน พรีเมียร์ลีก บางอย่างก็เป็นทาง ยูไนเต็ด ที่เหนือกว่านะครับ ทั้งค่าเฉลี่ยที่เสียเพียงแค่ 1.2 ประตูต่อเกม และเก็บคลีนชีตได้ถึง 6 นัด โดยที่ ซิตี้ นั้นเสียไปถึง 1.4 ประตูต่อเกม และเก็บคลีนชีตได้เพียงแค่ 3 เกมเท่านั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ฟุตบอลไม่ใช่ ‘บัญญัติไตรยางค์’ อ่ะครับ ที่จะมาเทียบค่านู้นนี่นั่นแล้วจะมาบอกผลลัพธ์ได้ แต่ที่เอ่ยถึงสถิติที่ผ่าน ๆ มาก็เพื่อให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของฟุตบอลนี่แหละครับ
ใช่ว่าเสียประตูน้อยแล้วจะได้แชมป์ ใช่ว่าเก็บคลีนชีตได้เยอะแล้วจะอันดับดีกว่า
สุดท้ายแล้วก็ต้องไปวัดกันที่หน้างานนั่นแหละครับว่าใครจะทำได้ดีกว่ากัน แล้วที่ อโมริม เคยคุม สปอร์ติ้ง ลิสบอน ชนะ แมนฯ ซิตี้ มาได้แล้วเมื่อเดือนก่อน จะทำได้อีกครั้งหรือไม่กับสโมสรใหม่ของเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกได้เลยนะ ‘แฟนผี’ พอมีลุ้นได้เลยนะสำหรับเกมในวันอาทิตย์นี้
เขียนโดย LS Sport
ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชม.