สภาลูกหนัง: ทีมลุ้นแชมป์ก็รู้กันอยู่แล้ว มาดูทีมที่ไล่ล่า “อันดับ 3” ดีกว่า!?
ถ้าพูดถึงทีมที่จะก้าวมาลุ้นแชมป์ คงหนีไม่พ้น ลิเวอร์พูล และแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ประมาทไม่ได้ แต่วันนี้ผมอยากพูดถึงทีมที่แข่งกันเป็น “ลำดับที่ 3 ในลีก” มากกว่า เพราะพวกเขาค่อนข้างมีภาษีที่ใกล้เคียงกันมาก
เริ่มกันที่ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้น้ำมือของโค้ชใหม่อย่าง รูเบน อโมริม ค้าชัยชนะนัดแรกในการคุมทีมได้สำเร็จในเกมที่พลิกกลับมาชนะ โบโด กลิมท์ 3-2 ซึ่งความดีความชอบก็ต้องยกให้ตัว อโมริม เองนั่นแหละ เพราะก่อนหน้านี้ที่บุกไปเสมอกับ อิปสวิช ทาวน์ 1-1 ด้วยรูปเกมหนังตูดไม่ติดเบาะนั่ง ทำเอาแฟนบอลในประเทศที่ชอบเรียกตัวเองว่า “รักสันติ” ถึงกับสบถเอ่ยอ้างถึงสัตว์เลื้อยคลาน ราวกับมีใครไปปัสสาวะใส่กระถางต้นไม้หน้าบ้านเสียอย่างนั้น โดย “พี่เจ๋ง บิ๊กแอส” แกได้หาแคร์ไม่ ลุยต่อในระบบ 3-4-3 และแสดงให้เห็นถึงรูปเกมที่ควรจะเป็น
คนแรกที่ผมอยากพูดถึงคือ เมสัน เมาท์ ที่ค่อนข้างเข้าใจระบบการเล่นนี้ดีกว่าใคร เนื่องจากเคยสวมรองเท้าลงรับใช้ ‘สิงห์บลู’ มาตั้งแต่เดบิวต์ปี 2019 ช่วงเดียวกับที่อดีตต้นสังกัดเก่านิยมใช้ระบบ 3-4-3 นี้ การวิ่งทำทางและยืนตำแหน่งจึงดีกว่าเพื่อนร่วมทีมปัจจุบันใน ‘ปีศาจแดง’ อย่างเห็นได้ชัด และ ราสมุส ฮอยลุนด์ แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ผู้ซัดเบิ้ลและจ่าย 1 แอสซิสต์ ช่วยให้หูน้ำหนวกของ อโมริม ยังมีน้ำเท่ากันอยู่ มิเช่นนั้น จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ รุด ฟาน นิสเตลรอย อย่างไม่เป็นธรรมโดยโค้ชหลังจออีกตามเคย
ฟอร์มโดยรวมในเกมลีกตอนนี้ก็ไม่ได้แย่มากนัก ตามหลังท็อปโฟร์แค่ 6 คะแนน ดูทรงแล้วมีลุ้นทำเซอร์ไพร์สช่วงท้ายซีซั่นแน่นอนครับ
ต่อไป ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซน่อล ที่ดูเหมือนไฟราคะ และความคึกคะนองในการล่าแชมป์จะมีมากจนเกินไป กลายเป็นความกดดันอย่างมากมายให้กับนักเตะ พอมีนักเตะชุด 11 ตัวจริง เริ่มได้รับบาดเจ็บก็ถึงกับฟอร์มแกว่งไปมาเป็นช้างน้อยชินจังเลยทีเดียว ล่าสุดพอมีข่าวดีอยู่บ้างให้พออ่านแก้เซ็ง กัปตัน มาร์ติน โอเดการ์ด มิดฟิลด์ตัวรุกตัวความหวัง พร้อมกลับมาลงสนามช่วยทีมอีกคน ทำให้รายชื่อในโรงหมอจะเหลือเพียง เบน ไวท์, กาเบรียล มากัลญาเอส และ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ
ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่าเป็นแนวรับทั้งสิ้น และพวกเขาก็เสียไปแล้ว 12 ประตูในเกมลีก จาก 12 นัดแรก รอยรั่วถูกเจาะกระหน่ำจนไม่เห็นความหนาแน่นและความแข็งแกร่งในซีซั่นก่อน ตรงนี้ผมคิดว่า “ทีมศาสตร์มืด” ของ มิเกล อาร์เตต้า ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วนในเดือนมกราคม มิเช่นนั้น หากมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก ก็ต้องโบกมือลาโอกาสลุ้นแชมป์อย่างไม่เป็นทางการ อย่าลืมว่า อาร์เซน่อล ไม่ใช่ทีมที่มุ่งเป้ามาเล่นเพื่อติดท็อปโฟร์เหมือนแต่ก่อนแล้วนะ
สุดท้ายของคอลัมน์ชุดนี้จะเป็น ‘สิงห์บลู’ เชลซี นำทัพโดย เอ็นโซ มาเรสก้า อดีตเจ้าอาวาสฝีมือดีจาก ‘จิ้งจอกสยาม’ เลสเตอร์ ซิตี้ เชื่อว่ากว่า 90% ของแฟนบอลคู่แข่งจะเคยหัวเราะและยิ้มร่าออกมาในวินาทีที่เห็นข่าวการเข้ามาคุมทีมของเขา การได้โค้ชมือใหม่และมาจาก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ช่างเป็นอะไรที่ไม่น่าโสภาสถาพรกับสโมสรอย่างยิ่ง แต่สุดท้าย เชลซี กลายเป็นม้ามืดที่ใครก็ไม่คาดคิด กูรูและนักวิจารณ์บางท่านถึงกับเยินยอใส่ยี่ห้อ “ทีมลุ้นแชมป์” ให้ซะเลย
นอกจากมีรูปเกมที่ดูสนุก ขับเคลื่อนด้วยทีมพลังหนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษแล้ว พวกเขายังไม่ค่อยผ่อนเกมรุก และมีตัวหมุนเวียนกันได้ตลอด ชนิดที่ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครได้รับบาดเจ็บ เพราะที่นั่งอยู่ข้างสนามก็มีศักยภาพไม่แพ้กัน จริงอยู่ที่อาจไม่มีในระดับ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ หรือ เควิน เดอ บรอยน์ ที่สามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ทันตา แต่ขนาดทีม (Squad Depth) ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาทีมหัวตาราง ทำให้พวกเขาไม่ต้องเจอเรื่องน่าปวดหัวยามจัดทีมลงสนามนั่นเอง
และถ้าพูดถึงนักเตะระดับเวิร์ลด์คลาสของ เชลซี ก็ยังมี โคล พาลเมอร์ ที่ตัดสินผลได้ทุกนาทีเหมือนกัน คนนี้มองข้ามไม่ได้ เดี๋ยวดราม่าจะมาถล่มเอา…
จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 สโมสรต่างมีความแข็งแกร่งและจุดด่างพร้อยที่แตกต่างกันพอสมควร ได้ดูบอลสนุกในช่วงที่กลับมาเตะกันถี่ ๆ แบบนี้ ก็อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย และขอให้พระเจ้าคุ้มครองท่านผู้อ่านด้วยความรักยิ่งครับ.
เขียนโดย LS Sport
ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง