พรีเมียร์ลีก จะจบสัปดาห์นี้เลยไหม ? วัดกันให้รู้ก่อนเกม ‘หงส์’ ปะทะ ‘เรือ’
ศึกบิ๊กแมตช์ในสัปดาห์นี้ จะเป็นการพบกันระหว่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งจะเป็นการแข่งขันในช่วงที่ฟอร์มแตกต่างกันสุด ๆ
‘หงส์แดง’ โชว์ฟอร์มร้อนแรงเอาชนะต่อเนื่อง ไม้เว้นแม้แต่ทีมที่ผูกปีแพ้อย่าง เรอัล มาดริด สวนทางกับ ‘เรือใบสีฟ้า’ ที่ไม่ชนะใครมาแล้ว 6 แมตช์ติด โดยเป็นการแพ้ถึง 5 เกม ซึ่งถ้าจะวัดสถิติตัวเลขแล้วนั้น จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามอ่านกันต่อที่นี่ได้เลยครับ
ต่างทั้งฟอร์ม ห่างทั้งแต้ม
ก่อนจะไปติดตามเรื่องของศึกบิ๊กแมตช์กันต่อ ตอนนี้ LS Sport เพิ่มเกมตอบคำถามแฟนบอลพันธุ์แท้รายวัน และเกมโหวตทายผล ลุ้นรับไอเทมนักเตะระดับตำนานแบบไม่ต้องเติมเงินสักบาทเลย! ก็อย่าลืมรีบไปตุนเหรียญ-เก็บเลเวลกันก่อนหมดเขตนะครับ
เป็นอีกครั้งที่การจะวัดกันด้วยตัวเลขระหว่างสองทีมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน เนื่องจากสถิติตลอดกาลนั้นฝั่ง ลิเวอร์พูล ก็ชนะขาดอยู่หลายขุม เนื่องจากครองความยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนาน แต่ช่วงหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ประสบความสำเร็จเอาซะแบบทีมอื่น ๆ ในอังกฤษไม่เห็นฝุ่น
ด้วยเหตุผลนี้แล้ว เรามาวัดกันที่สถิติในฤดูกาลนี้ใน พรีเมียร์ลีก กับตำแหน่งที่สำคัญกันไปเลยดีกว่า
ผู้รักษาประตู
เคลเลเฮอร์: 6 แมตช์ / เสียประตู 6 / คลีนชีต 2 / เซฟสำเร็จ 75%
เอแดร์ซอน: 12 แมตช์ / เสียประตู 17 / คลีนชีต 2 / เซฟสำเร็จ 62%
ข้อนี้คงต้องบอกว่า ‘เจ้าลูกหมี’ ชนะไปได้ขาดลอย เนื่องจากโชว์ฟอร์มเก่ง เอาซะคนตั้งคำถามว่าเขาควรกลับไปอยู่บนม้านั่งสำรองหรือไม่ ถ้าหากว่า อลิสสัน เบ็คเกอร์ หายเจ็บ เนื่องจากป้องกันจังหวะสำคัญอยู่บ่อยครั้ง แล้วล่าสุดคือการเซฟจุดโทษลูกยิงของ คีเลียน เอ็มบัปเป้
อย่างไรก็ตาม เอแดร์สัน ก็ยังคงมีประสบการณ์ในเกมใหญ่มากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าตำแหน่งผู้รักษาประตูนั้นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจเปลี่ยนแปลงผลการแข่งขันของเกมนั้นได้เลย
เซ็นเตอร์
ฟาน ไดจ์ค: 12 แมตช์ / เสียประตู 8 / คลีนชีต 6 / ตัดบอล 22
รูเบ็น ดิอาซ: 9 แมตช์ / เสียประตู 8 / คลีนชีต 2 / ตัดบอล 10
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะไม่สู้ดีนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขาด รูเบ็น ดิอาส มาเป็นผู้บรรชาเกมรับ โดยล่าสุดเขามีชื่อบนม้านั่งสำรองในเกม ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามเมื่อมองจากฟอร์มแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค นั้นเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะย่างเข้าวัย 32 ปีแล้วก็ตาม
เพลย์เมคเกอร์
ซาล่าห์: 12 แมตช์ / 6 แอสซิสต์ / สร้างโอกาสสำคัญ 6
เดอ บรอยน์: 6 แมตช์ / 1 แอสซิสต์ / สร้างโอกาสสำคัญ 5
ข้อนี้ถึงแม้ตัวเลือกของ ‘บังโม’ จะเหนือกว่า แต่เพื่อให้ความเป็นธรรมกับ เดอ บรอยน์ ที่ถึงแม้จะพลาดการลงสนามไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของการแข่งขัน แต่ตัวเลขการสร้างโอกาสสำคัญของเขานั้นไม่ได้ด้อยกว่าเลย
และไม่แน่การจ่ายบอลครั้งสำคัญของพวกเขาแค่ครั้งเดียว นั่นก็อาจเปลี่ยนเป็นประตูโทนให้ทีมเอาชนะได้ในเกมนี้
กองหน้า
นูนเญซ: 9 แมตช์ / 2 ประตู / 1 แอสซิสต์
ฮาแลนด์: 12 แมตช์ / 12 ประตู / 0 แอสซิสต์
ถึงแม้ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเป็นรอง ลิเวอร์พูล อยู่หลายส่วน แต่จุดของผู้เล่นที่จะเอาบอลเข้าไปสู่ก้นตาข่ายนั้นต้องบอกว่าพวกเขาชนะขาด
จะเรียกได้ว่า ฮาแลนด์ นั้นถือว่าเป็นความหวังสูงสุดของฝั่ง ‘เรือใบสีฟ้า’ และถ้าหากว่าพวกเขาหวังที่จะกลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ให้ได้ เพชฌฆาตรายนี้ต้องกลับมาทำงานแล้ว
บทสรุปภาพรวม
ชัดเจนอยู่แล้วว่า ลิเวอร์พูล นั้นเหนือกว่าด้วยฟอร์มการเล่น 12 นัด ชนะ 10 เสมอ 1 แพ้ 1 สวนทางกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ชนะ 7 เสมอ 2 แพ้ 3
แต่ว่ากันตามตรงนี่คือศึกสำคัญของฤดูกาลนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่าถ้าชัยชนะตกเป็นของ ‘หงส์แดง’ แล้วนั้น ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุฟุตบอลขึ้นจริง ๆ พวกเขาคงเข้าป้ายเส้นชัยได้แน่ ๆ
ส่วนฝั่ง ‘เรือใบสีฟ้า’ หลังจากที่ไม่ชนะใครมา 6 แมตช์ต่อเนื่อง ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นได้ในนัดนี้ล่ะก็ โมเมนตั้ม เปลี่ยนขึ้นมา การคาดหวังคว้าแชมป์ 5 สมัยติด ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
เขียนโดย LS Sport
ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง