TOP 10: ขุนพลที่ดีที่สุดภายใต้การนำทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
หากเราจะพูดถึงหนึ่งในสุดยอดกุนซือยุคปัจจุบัน ผู้สามารถขึ้นหิ้งไปเทียบเคียงกับเหล่าตำนานตลอดกาลของโลกลูกหนัง ชื่อที่ผุดขึ้นมาเป็นลำดับแรก ๆ คงหนีไม่พ้น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ชายที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องยาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ
ต่อให้ไม่นับ แชมป์เตเซร่า ดิวิชั่น กับ บาร์เซโลน่า เบ ในปี 2008 เขาก็ยังกวาดไป 39 เมเจอร์โทรฟี่ จากการคุมทีม 3 ประเทศ ได้แก่ สเปน กับ บาร์เซโลน่า, เยอรมนี กับ บาเยิร์น มิวนิค และ อังกฤษ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยวันนี้เราจะมาดูกันว่าใครคือ 10 ขุนพลเอก ที่เฉิดฉายเป็นประกาย หรือถูกผลักดันจนก้าวขึ้นมาเป็นดาวเตะชั้นแนวหน้าภายใต้การนำทีมของเขา
10. เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ (Erling Haaland)
สัญชาติ: นอร์เวย์
ตำแหน่ง: กองหน้า
ช่วงเวลาพีค: 2022 ถึงปัจจุบัน
ความโดดเด่น: ลงสนาม 98 นัด ยิง 90 ประตู ใน 2 ซีซั่นแรกกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
‘ไอ้เด็กยักษ์’ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กลายเป็นปรากฎการณ์ของเวทีลูกหนัง บนวัยเพียง 24 ขวบฝน เขาสร้างความหวาดผวาไปทั่วเกาะอังกฤษ หลังโชว์ฟอร์มระเบิดพลังไซย่าไปทั่ว บุนเดสลีกา มาก่อนกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
เราต่างทราบกันดีว่า นักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ในการออกบอลทั่วสนาม เมื่อมาผสมผสานกับการเล่นที่เป็นระบบตามสไตล์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พวกเขาขอเพียงนักล่าประตูที่เชื่อถือได้ และคุ้มค่าพอที่จะหยิบเดรดิตการ์ดไปรูดมาใช้งานในระยะยาว ซึ่ง The Times เคยรายงานค่าตัวที่แท้จริงเอาไว้ว่า ‘เรือใบสีฟ้า’ จ่ายเพียง 60 ล้านยูโร ให้ต้นสังกัดเก่าก็จริง แต่ต้องเพิ่มอีก 40 ล้านยูโร ให้ตัวนักเตะเพื่อย้ายมาค้าแข้งในถิ่น เอดิฮัต สเตเดี้ยม และสุดท้ายมันคุ้มค่าที่จะจ่ายทุกเพนนี
ปัจจุบัน เขาทำแฮตทริคได้เทียบเท่ากับตำนานอย่าง เวย์น รูนี่ย์ ไปแล้วด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มฤดูกาลที่ 3 ของตัวเองเท่านั้น
9. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (Robert Lewandowski)
สัญชาติ: โปแลนด์
ตำแหน่ง: กองหน้า
ช่วงเวลาพีค: 2015/16
ความโดดเด่น: ยิง 5 ประตู ใน 9 นาที ใส่ โวลฟ์สบวร์ก ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2015
หากจะมีกองหน้าสักคนที่ยังดูเหนือกว่า เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ และยังคงโลดแล่นอยู่ในระดับสูง ชื่อหนึ่งที่หนีไม่พ้นคงเป็น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ราชันย์ไร้บัลลงดอร์
นอกจากการทำ 5 ประตู ใน 9 นาที ที่ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว เด็กหนุ่มจากเมืองวอร์ซอว์ ยังถล่มตาข่ายไปมากกว่า 600 ประตู ในเกมระดับอาชีพ ทั้งในนามสโมสรและทีมชาติ ซึ่งถึงแม้ในซีซั่น 2015/16 กับ บาเยิร์น มิวนิค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะมีตัวเลือกในมืออย่าง โธมัส มุลเลอร์ และ มาริโอ เก็ตเซ่ ที่สามารถขยับไปเล่นเป็นกองหน้าตัวหลอก (False Nine) ได้ แต่ เลวานดอฟสกี้ ก็เก่งกาจพอที่ทำให้ เป๊ป ยอมปรับทัพและแท็คติคประจำตัว จนนำมาสู่การยิง 42 ประตู จาก 51 นัด
มันน่าเสียดายที่ในปี 2020 โลกเกิดวิกฤตการณ์ Covid-19 ทำให้การจัดงานมอบรางวัลบัลลงดอร์ (Ballon D’or) ของ ฟรานซ์ ฟุตบอล ไม่เกิดขึ้น มิเช่นนั้น เราคงได้เห็น เลวานดอฟสกี้ ก้าวขึ้นไปรับเกียรติยศส่วนตัวสูงสุดอย่างเต็มภาคภูมิ
8. ฟิลิปป์ ลาห์ม (Philipp Lahm)
สัญชาติ: เยอรมนี
ตำแหน่ง: ฟูลแบ็ค, มิดฟิลด์ตัวรับ, เพลย์เมกเกอร์
ช่วงเวลาพีค: 2013-2016
ความโดดเด่น: ถูกจับยืนเป็น “เมโทดิสต้า (Metodista)” จุดศูนย์กลางของระบบการเล่น
เชื่อหรือไม่ว่า นักเตะหลายคนที่เราไม่เคยเห็นหน้า หรือไม่เคยรู้จักมาก่อน อาจมีดีมากกว่าที่ทุกคนคิด เพียงแต่เขาไม่ได้เจอโค้ชที่ปลุกปั้นและดึงศักยภาพสูงสุดออกมาได้ก็เท่านั้น
ฟิลิปป์ ลาห์ม ถูกยกให้เป็นฟูลแบ็คที่ดีที่สุดของทีมชาติเยอรมนี และ บาเยิร์น มิวนิค ตั้งแต่วัยหนุ่ม เขาอาจมีรูปร่างที่เล็กพริกขี้หนู แต่แลกด้วยชั้นเชิงการเล่นฟุตบอลที่เหนือชั้น จนสามารถยึดปลอกแขนกัปตันได้ตั้งแต่ชุดยูธ ไอคิวฟุตบอลของเขา ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงกับยกย่องให้เป็นนักฟุตบอลที่ฉลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยโค้ชให้ และมันคือเหตุผลที่ “เมโทดิสต้า” กลายเป็นที่ฮือฮาใน บุนเดสลีกา ณ ช่วงเวลานั้น
ลาห์ม ถูกจับมาเล่นมิดฟิลด์ตัวรับ ด้วยหน้าที่การออกบอลสั้น-ยาว รอบทิศทาง จนสร้างสมดุลให้กับแผนการครองบอลไปสู่อีกระดับ จังหวะการควบคุมเกมของเขา ทำให้คู่แข่งทุกคนหาบอลแทบไม่เจอ จนมีผู้จัดการทีมหลายรายเริ่มเลียนแบบ และพยายามนำนักเตะตำแหน่งฟูลแบ็คมายืนเป็นจุดศูนย์กลางการเล่นเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครทำผลงานได้แม้แต่ใกล้เคียง
จะบอกว่า นี่เป็นสูตรต้นตำรับและวิวัฒนาการกลายเป็น อินเวิร์ท-ฟูลแบ็ค ในโลกปัจจุบัน ก็มีเค้าโครงอยู่เหมือนกัน
7. โรดรี้ (Rodri)
สัญชาติ: สเปน
ตำแหน่ง: มิดฟิลด์ตัวรับ
ช่วงเวลาพีค: 2022-2024
ความโดดเด่น: ตัวเต็งบัลลงดอร์ ปี 2024 จากความสำเร็จสโมสรและทีมชาติ
หาก มาร์ติน ซูบิเมนดี้ คือสุดยอดนักเตะในตำแหน่งปิดทองหลังพระ แต่ผมว่ามันยังมีอีกคนที่เจ๋งกว่าเขา…
หาก ดีแคลน ไรซ์ คือตัวโฮลดิ้งที่สร้างความสั่นสะเทือน 8.0 ริกเตอร์ แต่ผมว่ามันยังมีอีกคนที่เปรียบเสมือนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ใน พรีเมียร์ลีก…
ความสำเร็จซีซั่น 2022/23 ต่อยอดมาถึง ถ้วยยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และ แชมป์สโมสรโลก ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขากวาดไป 5 เมเจอร์โทรฟี่ จาก 7 รายการที่ลงแข่งขัน พลาดไปเพียง คาราบาวคัพ และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่มีค่าสัมประสิทธิ์ในสายตาคนดูน้อยที่สุด แล้วถามว่า ใครล่ะเป็นคีย์แมนของการเฉลิมฉลองให้ทั่วโลกรู้ว่า “เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นสีฟ้า” ? คำตอบคือ โรดรี้ นั่นเอง
6. เควิน เดอ บรอยน์ (Kevin De Bruyne)
สัญชาติ: เบลเยี่ยม
ตำแหน่ง: เพลย์เมกเกอร์
ช่วงเวลาพีค: 2019-2023
ความโดดเด่น: ความสำเร็จส่วนตัว 24 รายการ และติดทีมยอดเยี่ยม 33 รายการ
ความโดดเด่นที่ท่านเห็นข้างต้น ไม่ได้นับรายการที่เขาคว้ามาได้ก่อนเจอ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ด้วยซ้ำ นั่นแหละคือการตอกย้ำว่า ยามลงสนาม เควิน เดอ บรอยน์ กลายเป็นปีศาจร้ายในคราบนักกีฬา ที่พร้อมปลิดชีพคู่แข่งจากการจ่ายบอลเพียงจังหวะเดียว
ความโกง, ความเป็นตัวบัค, ความเป็นตัวแด๊ดดี้ หรือจะอะไรก็เหอะ เดิมทีมันก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมายกย่องแล้ว พอมาอยู่ในมือของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยิ่งแล้วใหญ่ เดอ บรอยน์ กลายเป็นมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในยุโรปเคียงข้าง โทนี่ โครส และ ลูก้า โมดริช อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าเขาจะพบเจอกับอาการบาดเจ็บจนหายหน้าหายตาไปช่วงหนึ่ง แต่คลาสฟุตบอลมันยังอยู่…!! เพราะเพียงการแตะบอลจังหวะเดียวของเขา ก็อาจสามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้เลย
5. เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ (Sergio Busquets)
สัญชาติ: สเปน
ตำแหน่ง: มิดฟิลด์ตัวรับ, เพลย์เมกเกอร์
ช่วงเวลาพีค: 2008-2012
ความโดดเด่น: ต้นตำรับมิดฟิลด์ตัวรับสมัยใหม่ของยุคปัจจุบัน
“หากคุณดูเกม คุณจะไม่เห็น บุสเก็ตต์ แต่หากคุณดู บุสเก็ตต์ คุณจะเห็นเกมทั้งเกม”
วลีดังที่สามารถนำมาใช้และนิยามการเป็นตัวปิดทองหลังพระยุคใหม่ได้ดีที่สุด เพราะสิ่งที่เขาทำมันน่าเหลือเชื่อกว่าทุกคนในตำแหน่งเดียวกัน บุสเก็ตต์ เป็นนักเตะที่อ่านเกมล่วงหน้าไป 4-5 ขุม ราวกับว่า เขามองเห็นอนาคตที่จะเกิดขึ้นหลายวินาทีก่อนหน้าทุกคน การแกะเพรส (Pressing) และพลิกจังหวะบอลให้เพื่อนเล่นง่าย คือ จุดแข็งที่สุดที่ทำให้เกมรุกของ บาร์เซโลน่า ในยุค ‘ต่างดาว’ ไร้เทียมทาน
คงไม่มีใครบ้าพอจะขาย ยาย่า ตูเร่ มิดฟิลด์ไดนาโมระดับ World Class ออกไป เพื่อนำกองหน้าโนเนมจากทีมชุด B มาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ และแจ้งเกิดจนโลกได้รู้จักหรอก…
ใช่ครับ มันคือสตอรี่ของ เซร์คิโอ บุสเก็ตต์ อดีตกองหน้าเก้งก้าง ที่ถูกดันขึ้นมาเล่นกองกลางตัวรับทีมชุดใหญ่ ด้วยมันสมองของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า !!
4. มานูเอล นอยเออร์ (Manuel Neuer)
สัญชาติ: เยอรมนี
ตำแหน่ง: ผู้รักษาประตู
ช่วงเวลาพีค: 2008-2012
ความโดดเด่น: ต้นตำรับผู้รักษาประตูสมัยใหม่ของยุคปัจจุบัน
เราควรจะให้เกียรติ เซปป์ ไมเออร์ สักหน่อย หากจะพูดถึง Offensive Goalkeeper หรือมือกาวที่โดดเด่นในการเซ็ทอัพเกมรุก และ มานูเอล นอยเออร์ ก็สานต่อไอเดียนี้ด้วยคำแนะนำของ เป๊ป จนประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ในฐานะผู้เล่นนอกกรอบเขตโทษ (Outfield Player) คนที่ 11
หลายครั้งที่เรามักเห็น นอยเออร์ ออกมาตัดบอลกลางสนาม หรือเลี้ยงบอลขึ้นไปทำเกมในฐานะกองหลังตัวสุดท้าย เพื่อสร้างโอกาสความได้เปรียบในด้านตัวผู้เล่น การเริ่มเกมบุกจากผู้รักษาประตูจึงเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาใช้จริงที่ บาเยิร์น มิวนิค
นอกจากความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายและการออกบอลที่แม่นยำ นอยเออร์ ยังมีภาวะความเป็นผู้นำ และนิ่งพอที่จะซัดจุดโทษในเกมรอบตัดสิน เขาล่ะชื่นชอบนักล่ะ ไอ้เกมประเภทใครแพ้ตกรอบเนี่ย ก็ไม่น่าแปลกใจ หากหลายคนจะยกให้เขาเป็นนายด่านที่ดีที่สุดตลอดกาล เคียงข้างเหล่าขรัวเฒ่า จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน, เลิฟ ยาชิน หรือ กอร์ดอน แบงส์
3. อันเดรส อินเนียสต้า (Andrés Iniesta)
สัญชาติ: สเปน
ตำแหน่ง: มิดฟิลด์ตัวรุก, เพลย์เมกเกอร์
ช่วงเวลาพีค: 2008-2012
ความโดดเด่น: นักเตะสเปนที่ดีที่สุดในสายตาของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
"You will retire me but this kid will retire us both."
แปลเป็นภาษาแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ง่าย ๆ ว่า “เออ เอ็งเก่งมากนะ ชาบี เอ็งทำให้ข้าดูหมองไปเลย แต่ไอ้เด็กที่ชื่อ อินเนียสต้า มันเจ๋งกว่าเราทั้งคู่!”
ผมคิดว่ายุคทองของ อันเดรส อินเนียสต้า เกิดขึ้นในยุคเดียวกันกับนักเตะหลายคนที่ คัมป์ นูว นั่นแหละ เขามีความเป็น แมตช์ วินเนอร์ (Match Winner) ยิงประตูในเกมความกดดันสูงได้บ่อยครั้ง ทั้งเกมตัดเชือก ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ก็ดี หรือจะเกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2010 ก็ดี ความมหัศจรรย์ของ อินเนียสต้า ทำให้เขาถูกยกเทียบชั้นกับ โรนัลดินโญ่ และ ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป สองตำนานรุ่นพี่ในสโมสร
ถ้าถามเรื่องฟอร์มการเล่นโดยรวมและการยืนระยะ ก็ไม่แน่ว่า อินเนียสต้า อาจก้าวข้าม 2 เพลย์เมกเกอร์คนดังกล่าวแล้วก็ได้ เพราะจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่า เด็ก Gen ใหม่คนไหน จะมีสไตล์การเล่นที่ทั้งสวยงาม และมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเขาให้เห็นเลย
2. ชาบี เอร์นานเดซ (Xavier Hernández)
สัญชาติ: สเปน
ตำแหน่ง: เพลย์เมกเกอร์
ช่วงเวลาพีค: 2008-2012
ความโดดเด่น: เพลย์เมกเกอร์ ที่ดีที่สุดตลอดกาล บัลลงดอร์ ดรีมทีม ชุดใหญ่
ประวัติศาสตร์ฟุตบอลเริ่มต้นมาตั้งกี่ร้อยปี แผ่นดินของเราเห็นหน้าค่าตานักฟุตบอลมาแล้วนับล้านคน มันตอบยากมากนะว่า ใครคือตัวสร้างสรรค์เกมที่ดีที่สุดตลอดกาล?
เห็นทีจะต้องยก Ballon D’or Dream Team มาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักเสียแล้ว เมื่อบัลลงดอร์ (Ballon D’or) ถูกมอบให้กับนักเตะที่ดีที่สุดในแต่ละปี มันเลยมีการจัด ดรีม ทีม หรือทีมในฝันของ ฟรานซ์ ฟุตบอล เพื่อหาสุดยอดทีมตลอดกาลของโลกที่ไม่อาจมีใครแตะต้องได้ และแน่นอนว่า ตำแหน่งหมายเลข 8 เพลย์เมกเกอร์ ตกเป็นของ ชาบี เอร์นานเดซ
การจ่ายบอลสั้นที่รวดเร็วและแม่นยำ การออกบอลยาวเรียดพื้นอย่างมีวิสัยทัศน์ เราคุ้นเคยกันดีกับการส่งบอลทะลุช่องคู่แข่งหมดแผงหลัง ไปให้กองหน้าซัดไปกองก้นตาข่ายง่าย ๆ เราเห็นกันจนเป็นเรื่องปกติ ทั้ง ๆ ที่มันโคตรจะไม่ปกติเลยนะ…!!
1. ลีโอเนล เมสซี่ (Lionel Messi)
สัญชาติ: อาร์เจนติน่า
ตำแหน่ง: กองหน้าตัวหลอก (False Nine)
ช่วงเวลาพีค: 2012
ความโดดเด่น: สถิติคงกระพัน ยิง 91 ประตู ในรอบ 1 ปฏิทิน
ลีโอเนล เมสซี่ มีจุดพีคตลอดชีวิตค้าแข้งอยู่แล้ว คุณจะไปหาความโดดเด่นจากปีไหนกันล่ะ? ก็เขาคว้าบัลลงดอร์ไป 8 สมัยเลยนี่ แถมทุกเวทีการแข่งขันก็ไม่เหลือถ้วยไหนเป็นความท้าทายของเขาอีกแล้ว จะเรียกว่า เขาคว้า “ซูเปอร์ แกรนด์ แสลม” เลยก็ได้ล่ะมั้ง
หากจะมีสัก 1 ปี ที่เขาฝากสถิติจนถูกจารึกให้เป็น ‘พระเจ้าของโลกฟุตบอล’ ก็คงจะเป็นการยิง 91 ประตู ในรอบ 1 ปฏิทิน ในปี 2012 ภายใต้คำบัญชาของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่จับเขาไปเล่นกองหน้าตัวหลอก (False Nine) เพื่อรีดเร้นศักยภาพตัวเขาออกมาให้มากที่สุด จนได้บทสรุปของการลงสนาม 69 นัด ยิง 91 ประตู และจ่าย 24 แอสซิสต์
ซึ่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เคยออกปากยกย่องให้ ลีโอเนล เมสซี่ เปรียบเสมือน ไมเคิ่ล จอร์แดน แห่งวงการบาสเก็ตบอล ในมุมมองของเขา
ก็จบกันไปแล้วกับ 10 ขุนพลที่ดีที่สุดภายใต้การนำทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ครั้งหน้าการจัดอันดับจะเป็นอะไร รีเควสกันเข้ามาได้นะครับ!
เขียนโดย LS Sport
ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง