ตำนานลูกหนัง : ‘ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์’ ตำนานที่คนรุ่นหลังต้องศึกษา (Past 1)
ชายผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของวงการฟุตบอลเยอรมนี คำนี้คงไม่เกินจริงสำหรับ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ซึ่งเจ้าตัวมีบทบาทสำคัญทั้งตอนเป็นตัวนักเตะ และผู้จัดการทีม แม้ว่าเด็กยุคใหม่อย่างเราคงไม่ทันเห็นฝีไม้ลายมือของเขาด้วยตาตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าคนรุ่นพ่อของเราต้องมีคนหลงใหลชายผู้นี้อย่างแน่นอน
หากคุณยังไม่รู้ว่าเขานั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน ติดตามไปพร้อมกันกับผมได้ที่นี่เลย
ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ เกิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 1945 ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี โดยช่วงเวลาที่เจ้าตัวลืมตาดูโลก และเติบโตขึ้นมา บ้านเกิดของเขากำลังอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงได้ไม่นาน
ในวัยเด็กเขาเริ่มจากการเตะลูกบอลกับกำแพงอิฐ ซึ่งทำแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ จนพาตัวเองเข้าสู่สารบบฟุตบอลได้ กับการก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะเยาวชนของ เอสเซ 1906 มิวนิค เมื่อตอนอายุได้เพียง 9 ขวบเท่านั้น พร้อมกับถูกวางตัวในอนาคตแล้วว่า 1860 มิวนิค ทีมแกร่งในเวลานั้น คือสถานีต่อไปบนถนนลูกหนัง แถมตัวเขาเองก็เป็นแฟนบอลทีมนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าความเป็นจริงเขากลับย้ายมาซบ บาเยิร์น มิวนิค แทนซะอย่างนั้น ซึ่งว่ากันว่าสาเหตุสำคัญมาจากการที่ ครั้งหนึ่ง เบคเคนบาวเออร์ ในวัย 12 ปี ลงแข่งกับทีม 1860 มิวนิค โดยในระหว่างที่เล่นเกมดังกล่าว เขามักจะโดนคู่แข่งทำฟาวล์แบบไม่หยุดหย่อน
แต่ด้วยสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งมาแต่เด็ก ประกอบกับชีวิตของสังคม เยอรมัน ในภาวะหลังแพ้สงคราม มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนต้องต่อสู้เพื่อตัวเอง เขาบ่นคู่แข่งจนโดนนักเตะกองหลังของ 1860 มิวนิค ตบเข้าไปที่หน้าอย่างจัง
ที่สุดแล้วการตบนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตฟุตบอลของเขาไปตลอดกาล เมื่อ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ตัดสินใจเลือกเข้าไปเป็นเด็กในอะคาเดมี่ของทัพ ‘เสือใต้’ แทน
สถานะของ บาเยิร์น มิวนิค ในเวลานั้น ต้องยอมรับว่า ยังไม่ใช่ทีมที่ผูกขาดแชมป์ลีกแบบในปัจจุบัน แถมช่วงที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นชุดใหญ่ ก็อยู่ในช่วงที่ทีมกำลังทำอันดับลุ้นเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดด้วยซ้ำไป
และหากจะบอกว่าการเข้ามาของ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ได้แปรเปลี่ยนสถานะของทีมจากแคว้นบาวาเรีย ให้มาเป็นทีมหัวตาราง ต่อด้วยโอกาสในการลุ้นแชมป์ และกลายเป็นทีมยักษ์ใหญ่ในเวลาต่อมาก็ย่อมได้เช่นกัน
ตลอดเวลา 14 ฤดูกาล เขาพา บาเยิร์น มิวนิค เถลิงแชมป์ บุนเดสลีกา ได้ถึง 4 สมัย และคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล อีก 4 สมัย รวมถึงแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปัจจุบัน อีก 3 สมัย
ด้วยผลงานขนาดนี้ทำให้เขากวาดรางวัลบัลลงดอร์ได้ถึง 2 สมัย ในปี 1972 และ 1976 เช่นเดียวกับการผงาดคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ เยอรมนี ถึง 4 ครั้ง และยังไม่รวมรางวัลยิบย่อยที่นับได้เกินกว่า 10 รางวัล
ในสมัยที่ เยอรมนีตะวันตก คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อปี 1974 คนที่นำเพื่อนร่วมทีมชูถ้วยเป็นคนแรกก็คือ เบคเคนบาวเออร์ ในฐานะกัปตันทีมชาติ เช่นเดียวกับความสำเร็จผ่านแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร ในปี 1972 ด้วย
โดยรวมแล้ว เบคเคนบาวเออร์ ลงเล่นให้ทีมชาติเยอรมันตะวันตก ไปทั้งสิ้น 103 นัด แม้สถิติดังกล่าวจะไม่ได้มากติดอันดับท็อป 10 ในปัจจุบันอีกต่อไป แตว่าสถิติลงเล่นให้ทีมชาติแบบ ‘ติดต่อกัน’ มากที่สุดของเขา ที่ 60 นัด ตั้งแต่ 9 กันยายน 1970 ไปจนถึง 23 กุมภาพันธ์ 1977 ยังคงเป็นสถิติที่ไม่ว่าจะแข้งรุ่นน้อง รุ่นลูก หรือรุ่นหลานยังไม่อาจโค่นลงได้
โดยภาพที่ถูกจดจำมากที่สุดของเขาคือ ตำแหน่งกองกลางตัวรับ หรือเรียกว่า ‘ลิเบโร’
ในที่แรก เบคเคนบาวเออร์ ลงเล่นตำแหน่งปีกซ้าย ซึ่งเป็นบทบาทที่เขารับผิดชอบมาตั้งแต่สมัยวัยกระเตาะ
จากนั้นก็เริ่มขยับมาเล่นในตำแหน่งกองกลาง โดยบทบาทนี้ถูกบันทึกให้เห็นภาพชัดก็คือ ฟุตบอลโลก 1966 โดยในนัดชิงชนะเลิศ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ถูกจับยืนเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ ของขุนพล ‘อินทรีย์เหล็ก’ ได้ลงห้ำหั่นกับมิดฟิลด์คู่แข่งอย่าง เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน หรือคอยตัดเกม โรเจอร์ ฮันต์ กับ เจฟฟ์ เฮิร์สต์
อย่างไรก็ดี ที่สุดแล้วเขาก็มาตระหนักได้ว่าตำแหน่งการเล่นที่เขาชื่นชอบและตั้งใจจะเป็นมากที่สุด ก็คือการเล่นเป็นกองหลัง และด้วยอายุอานามที่มากขึ้น เจ้าตัวค่อย ๆ ถอยตัวเองจากปีก กองกลาง มาเป็นผู้เล่นเกมรับ จนกลายเป็นผู้เล่นในตำแหน่ง ‘ลิเบโร’ ที่ว่ากันว่าริเริ่มมาจากฟุตบอลประเทศอิตาลี ตั้งแต่ช่วงยุคทศวรรษที่ 60
ลิเบโร เป็นตำแหน่งเกมรับที่ยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายก่อนถึงผู้รักษาประตู คอยทำหน้าที่อ่านเกม ปัดกวาด เก็บตกลูกบอลเป็นคนสุดท้าย แถมยังสามารถพลิกผันเปลี่ยนสถานการณ์จากรับเป็นรุกได้แบบทันควัน และไม่น่าเชื่อว่า ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ จะเอามาประยุกต์ใช้ในแบบของตัวเองจนกลายเป็นการเล่นที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ลิเบโรสมัยใหม่
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวประวัติของ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ เท่านั้น เขายังทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการฟุตบอลประเทศเยอรมนี อีกมากมาย จนผมเองก็ยังทึ่งว่าชายเพียงคนเดียวจะยิ่งใหญ่อะไรได้ขนาดนี้ หากเป็นยุคสมัยนี้ก็คงเปรียบเสมือนกับ ลิโอเนล เมสซี่ ไม่ก็ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หากเพื่อน ๆ อยากรู้เรื่องราวของเขาในบทบาทหลังแขวนสตั๊ด โปรดรอติดตามตอนต่อไป
เขียนโดย LS Sport
ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง