ในระหว่างที่มีสงครามอยู่นั้น กีฬาฟุตบอลในถูกนำไปใช้ในหลายประเทศในยุโรป เพื่อเป็นวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมความมีระเบียบวินัย สร้างสามัคคี และยังดีต่อสุขภาพ จากนั้น ฟุตบอลเริ่มกลายมาเป็นความบันเทิงสาธารณะ และเป็นที่นิยมของผู้ชมมากขึ้น จึงได้เป็นที่มาของการนำเอากีฬาชนิดนี้มาทำให้เป็นธุรกิจอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่มีประชาชนในท้องถิ่นเป็นเจ้าของช่วยกันลงขัน ร่วมกับกลุ่มธุรกิจท้องถิ่นและธุรกิจขนาดใหญ่อื่นๆ

กระทั่งในปัจจุบันนี้ ธุรกิจสโมสรฟุตบอลไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ชาวบ้านในเมืองนั้นอีกต่อไป เพราะมีการขยายแนวความร่วมมือและการลงทุนออกไปอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ มีการวางระบบบริหารและการทำการตลาดที่เป็นมืออาชีพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างรากฐานความมั่นคงให้กับสโมสร มากพอๆกับการสร้างระบบผู้เล่นในทีม และการทำทีมให้มีความสามารถที่จะแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยม นั่นอาจหมายถึง การทุ่มเม็ดเงินมหาศาลในการสร้างผู้เล่นไอค่อน ระดับเทพขึ้นมาเป็นตัวชูโรง เรียกแขก เรียกผู้ชมให้เข้ามาสนับสนุนทีม ทั้งจากในประเทศและรอบๆโลก

รายได้ของทีมฟุตบอลอันมหาศาลนั้นมาจากหลายแหล่ง ทั้งการจำหน่ายตั๋วเข้าชมการแข่งขัน, ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขัน, การขายสินค้าที่ระลึกต่างๆ, การซื้อขายนักเตะ, รางวัลที่ได้จากการชนะการแข่งขัน, ลิขสิทธิ์ค่าตัวนักเตะในการเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าต่างๆ, รวมถึงรายได้จากการเปิดให้ชมสนาม และการเปิดให้เช่าใช้สถานที่ของสนามเพื่อการทำกิจกรรมสาธารณะอื่นๆ เป็นต้น 

ในยุคนี้ ฐานแฟนเบสที่อยู่ทั่วโลก ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเพิ่มกระแสความฮอตของทีม การเพิ่มยอดไลค์ยอดแชร์ต่างๆ ช่วยสร้างความสนใจ และขยายกลุ่มผู้ติดตามออกไปได้อีกในหลายช่องทาง ผ่านโซเชี่ยล มีเดีย ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุค, ทวิตเตอร์, อินสตาแกรม, ติ๊กต่อก, ยูทูป เป็นต้น

ทุกปีจึงได้มีการสำรวจว่า สโมสรไหนในโลกนี้ที่ทำรายได้มากที่สุด หรือเรียกง่ายๆว่า “ทีมไหนที่รวยที่สุดในโลกในแต่ละปี” ซึ่งในปี 2022 ที่เพิ่งผ่านไป มีรายงานจากนิตยสาร ฟอร์บส์ เผยให้เห็นว่า ทีมที่ร่ำรวยที่สุดได้แก่ เรอัล มาดริด ‘ราชันย์ชุดขาว’ จาก สเปน นั่นเอง โดยมีมูลค่าของทีมอยู่ที่ 896 ล้านเหรียญสหรัฐ 

รองลงมาคือ แชมป์เก่ารวยที่สุดของปี 2021 บาร์เซโลน่า มีมูลค่าทรัพย์สินที่ 815 ล้านเหรียญสหรัฐ, อันดับที่สามได้แก่ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ที่จำนวน 795 ล้านเหรียญสหรัฐ, ต่อด้วยอันดับที่สี่คือ ‘เสือใต้’ บาเยิร์น มิวนิค ทีมเดียวจากเมืองเบียร์ที่เข้ารอบท๊อปไฟว์ ด้วยมูลค่า 751 ล้านเหรียญสหรัฐ และ อันดับที่ห้า ‘เรือรบพันล้าน’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีมูลค่า 678 ล้านเหรียญสหรัฐ

จากการจัดอันดับ พบว่า ทีมที่ติด Top 10 ทีมฟุตบอลที่รวยที่สุดในโลก นอกจากทีมยักษ์ใหญ่จากแดนเหนือ แมนเชสเตอร์ ทั้งสองทีมแล้ว ยังมีอีก 4 ทีมจาก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ติดอันดับด้วย ได้แก่ ลิเวอร์พูล, เชลซี, อาร์เซนอล, และ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ล้วนแต่เป็น ‘เดอะ บิ๊ก ซิกส์’ หกทีมใหญ่จากเกาะอังกฤษ โดยที่มีทีมจากฝรั่งเศสหนึ่งเดียว คือ ปารีส แซงแฌร์แมง ที่เกาะกลุ่มมาด้วย

ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไร เพราะอุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอลเป็นหนึ่งในรายได้หลัก ที่ทำเงินเข้าสู่สหราชอาณาจักรได้อย่างมหาศาลในแต่ละปี เราจะได้เห็นว่า ทุกทีมนั้น เริ่มต้นจากการเป็นแค่ สโมสรฟุตบอลที่มีเป้าหมายหลัก คือการเอาชนะในการแข่งขัน แต่นอกเหนือจากชัยชนะแล้ว การต่อยอดทางมูลค่าการตลาดในการสร้างฐานความนิยมให้กับแฟนบอลด้วยวิธีต่างๆก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้เกิดคุณค่าทางจิตใจ ความรัก และความผูกพันแก่มวลชน

เพราะสงครามในสนามแข่งขันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่สนามที่แท้จริงสมัยนี้ คือ การสร้างความมั่งคั่งไปคู่กับความมั่นคง ทำให้ทีมอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เพื่อโอกาสได้การเพิ่มจำนวนค่าลิขสิทธิ์ต่างๆนั่นเอง.

เขียนโดย Saito Hajime.

The Lite Team.