เนื่องจากระยะห่าง 5 คะแนน แปรเปลี่ยนเป็น 8 คะแนน (ก่อนการแข่งขันกับเชลซี) ซึ่งสถิติฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ไม่เคยมีทีมสโมสรฟุตบอลไหนในประเทศอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ 3 ฤดูกาลติดต่อกันได้สำเร็จ ยกเว้น ทีมของชายที่ชื่อ escapeSingleQuotเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันescapeSingleQuot ที่ทำได้ถึง 2 ครั้ง ในช่วงปี 1999-2001 และ 2007-2009 แสดงให้เห็นถึงความเป็นปรมาจารย์ลูกหนังอย่างแท้จริง

ส่วน แมนฯ ซิตี้ เพิ่งจะมีโอกาสเป็นครั้งที่ 2 ในยุคของเฮดโค้ชอย่าง เป๊บ กวาร์ดิโอล่า ที่มีลุ้นทำ Streak Champion แบบนี้ โดยครั้งแรก พวกเขาได้พลาดท่าให้กับทีมคู่แข่งประจำยุค อย่าง ลิเวอร์พูล และปีนี้ดูเหมือนว่า อาจเป็นอีกครั้งทีมที่ เป๊บ มีสิทธิ์ทำไม่สำเร็จ หากปล่อยให้ อาเซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า อดีตมือขวาคนรู้ใจ ทำคะแนนทิ้งห่างไปเรื่อยๆ

หลายคนมองว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของซีซั่นที่อาจเกิดขึ้นได้ จะเป็นการพบเจอกันเองระหว่าง 2 ทีม ที่มีเหตุให้ต้องเลื่อนการปะทะกันอยู่ทุกครั้ง เพราะหาก escapeSingleQuotเรือใบescapeSingleQuot สามารถเอาชนะได้แบบไปกลับ อาจทำให้สถานการณ์มีการพลิกขึ้นมา ทั้งความมั่นใจและความกดดันจะเปลี่ยนโมเมนตัมทันที แต่หากผลลัพธ์ไม่เป็นตามที่คาดหวัง คงต้องหันไปให้ความสำคัญกับถ้วย UCL ที่ถวิลหามาหลายฤดูกาลเสียแทน

สุดท้ายจะเป็นการพิสูจน์ฝีมือของ เป๊บ กวาร์ดิโอล่า อีกครั้ง เพราะคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีแน่ หาก ‘เรือใบ’ จะกวาดรางวัลส่วนตัวให้กับนักเตะ แต่กลับไม่มีถ้วยแชมป์ติดมือ เพราะเมื่อมองคุณภาพของนักเตะแล้ว ต้องยอมรับว่า ผู้เล่นของ แมนฯ ซิตี้ หลายคน มีประสบการณ์ในการรับมือความกดดันได้มากกว่าคู่แข่งอย่าง อาเซน่อล หลายช่วงตัว และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรากลายเป็น escapeSingleQuotผู้ตามescapeSingleQuot ในการลุ้นแชมป์

ในฐานะแฟนบอลแมนฯซิตี้ ถ้าจะผิดหวังจากแชมป์พรีเมียร์ลีกจริงๆ ในฤดูกาลนี้ ก็ขอให้บอสสามารถพาทีมชูถ้วย UCL แทนแล้วกัน เพราะอาจเป็นเพียงถ้วยรางวัลเดียวที่จะทำให้แฟนบอลกลับมามีความสุขอีกครั้ง หลังจากตึงเครียดมาทั้งฤดูกาล และ เป๊บ เองก็จะได้ปลดล็อคกับสิ่งที่คาในใจตลอดมา…