ตำนานลูกหนัง : จากกัปตันทีมสำรอง ‘เสือใต้’ สู่นายใหญ่อายุน้อย ‘นกนางนวล’
ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ กลายเป็นกุนซือที่ได้รับสนใจมากขึ้นในศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024/25 หลังเจ้าตัวเข้ามารับไม้ต่อจาก โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้
ด้วยความที่อายุอานามเพิ่มจะ 31 ขวบฝน และมีประสบการณ์คุมทีมฟุตบอลอาชีพไม่ถึง 2 ปี ทำให้เขากลายเป็นกุนซือที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก แน่นอนว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เขาจะเป็นใครมาจากไหน และทำไม ‘นกนางนวล’ ถึงกล้าไว้ใจให้โค้ชหนุ่มรายนี้ให้เป็นคนที่พาทีมต่อยอดสู่ระดับที่สูงกว่าเดิม ติดตามอ่านต่อกันได้ที่นี่เลยครับ
ก่อนจะไปติดตามเรื่องราวของ ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ กันต่อ ตอนนี้ LS Sport เพิ่มเกมตอบคำถามแฟนบอลพันธุ์แท้รายวัน และเกมโหวตทายผล ลุ้นรับไอเทมนักเตะระดับตำนานแบบไม่ต้องเติมเงินสักบาทเลย! ก็อย่าลืมรีบไปตุนเหรียญ-เก็บเลเวลกันก่อนหมดเขตนะครับ
เฮอร์เซเลอร์ เป็นลูกครึ่ง ออสเตรีย-อเมริกัน เขาเกิดและโตที่รัฐเท็กซัส ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายมาอยู่ประเทศเยอรมนี ในแคว้นบาวาเรีย ตอนที่เขาอายุ 12 ปี ซึ่งการย้ายถิ่นฐานนี้เองทำให้เจ้าตัวได้เริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังจนตัวเขาได้ทดสอบฝีเท้ากับ บาเยิร์น มิวนิค และได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะเยาวชนของทัพ ‘เสือใต้’ ในวัย 17 ปี และตอนนั้นเขามีแววจะเป็นนักเตะที่ดี เนื่องจากเป็นกัปตันทีมในชุดสำรอง
นักเตะรุ่นราวคราวเดียวที่โตมาด้วยกันกับเขาคือ เอ็มเร่ ชาน ที่เป็นเหมือนคู่หูกันในตอนที่เล่นในระดับเยาวชน เพียงแต่ว่าเส้นทางนั้นแตกต่างออกไปสักหน่อยตรงที่ ชาน เติบโตกลายเป็นนักเตะที่ดีมีโอกาสได้ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ และย้ายไปเล่นกับหลาย ๆ สโมสร รวมถึงเป็นนักเตะทีมชาติเยอรมนี ตั้งแต่ปี 2015 จนปัจจุบัน
แต่ เฮอร์เซเลอร์ นั้นชีวิตกลับพลิกผัน ตรงที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามระดับของการเป็นผู้เล่นชุดบี ไปสู่ชุดใหญ่ของ บาเยิร์น มิวนิค ได้ สุดท้ายอดีตแข้งรายนี้ก็ไม่ได้ต่อสัญญาและย้ายออกจากทีมไปอยู่กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในปี 2013 โดยเจ้าตัวอยู่สโมสรแห่งนี้ได้เพียงซีซั่นเดียวเท่านั้น ก็ต้องเก็บกระเป๋าเดินทางอีกครั้งไปอยู่กับ 1860 มิวนิค ในปี 2014
อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวไม่เคยได้เล่นทีมชุดใหญ่ของทั้ง ฮอฟเฟ่นไฮม์ และ 1860 มิวนิค เลย จนกระทั่งสุดท้ายก็กลายเป็นนักเตะที่เล่นในลีกสมัครเล่นเท่านั้น ซึ่งโชคชะตาชี้นำมาขนาดนี้แล้ว ก็คงไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่า เส้นทางลูกหนังในฐานะนักเตะของเขามันจบลงแล้ว สุดท้ายจึงประกาศแขวนสตั๊ดและเริ่มศึกษาเรื่องการเป็นโค้ชในปี 2016
เฮเซอร์เลอร์ เรียนโค้ชที่ Fussball Lehrer สถาบันฟุตบอลชื่อดังของแคว้นบาวาเรีย ที่นั่นเขาเรียนทั้งศาสตร์และศิลป์ กล่าวคือทั้งการเข้าห้องเรียนศึกษาความรู้บนกระดาน และการคุมทีมสมัครเล่นในแคว้นเพื่อหาประสบการณ์ทางตรง โดยเจ้าตัวบอกว่า ฟุตบอลของเขาไม่ใช่ฟุตบอลสมัยใหม่ที่ทำลายทุกขนบของกุนซือเก่าที่ทำมา เพราะศิลปะของการเปลี่ยนแปลง คือการค่อยปรับทีละนิด ทีละนิด ทำไปเรื่อย ๆ จนได้ฟุตบอลของตัวเองในแบบไร้รอยต่อ ชนิดที่ว่านักเตะในทีมอาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโดนเปลี่ยนวิธีการเล่นไปแล้ว
โอกาสแรกของ เฮเซอร์เลอร์ มาจากการที่ ติโม ชูลซ์ เฮดโค้ช ซังต์ เพาลี โดนปลดกลางซีซั่น 2022/23 จากการประชุมของกลุ่มผู้ถือหุ้น เนื่องจากฟอร์มของทีมไม่ดีจนตกไปอยู่อันดับ 14 ของตาราง บุนเดสลีกา 2 โดยตอนนั้นเจ้าตัวยังเป็นมือขวาให้กับกุนซือใหญ่รายนี้อยู่ จึงทำให้แฟน ๆ ต่างก็ตั้งคำถามว่า ผู้จัดการทีมคนใหม่จะดีกว่าคนเก่าอย่างไร เนื่องจากตอนนั้นเขาอายุเพียง 29 ปีเท่านั้น
ในตอนนั้น เทรนเนอร์หน้าใหม่ชาวอเมริกัน ยังไม่มีโปรไลเซ่นส์ ทำให้สโมสรต้องส่งเขาไปเรียนถึง 6 เดือน เพื่อที่จะไม่โดนค่าปรับจากสมาคมฟุตบอลเยอรมนี
แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ทีมเล็ก ๆ อย่าง ซังต์ เพาลี จะใช้กุนซืออายุน้อย ดังนั้นในช่วงแรก ๆ ข่าวคราวของ เฮอร์เซเลอร์ จึงไม่ได้ถูกเจาะลึกอะไรมากนัก มากไปกว่าการเป็นกุนซือในวัยย่าง 30 ปี โดยมีการแซว ๆ กันว่าเขาจะตามรอย ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย ไล่คุมทีมตั้งแต่ ไลป์ซิก, บาเยิร์น มิวนิค จนกระทั่งเป็นกุนซือของทีมชาติเยอรมนี ชุดใหญ่ ตามลำดับ
แน่นอนว่าเรื่องคุณสมบัติยังไม่มีใครรู้ แต่เรื่องของอายุที่ทำให้ถูกมองเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบแบบขำ ๆ เท่านั้น จนกระทั่งทุกอย่างกลายเป็นเรื่องซีเรียสขึ้นมา เมื่อเขาพา ซังต์ เพาลี ชนะ 10 เกมติดต่อกันใน บุนเดสลีกา 2 เรื่องทั้งหมดก็จางหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องความไม่พอใจของแฟน ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งเขามาแทนที่ ชูลซ์ ไหนจะเรื่องการบอกว่า ซังต์ เพาลี พยายามจะทำตัวเป็นข่าวเหมือนกับสมัยที่ ฮอฟเฟ่นไฮม์ สร้าง นาเกลส์มันน์ ตั้งแต่ยังหนุ่ม ๆ
อย่างไรก็ตาม วิธีการเล่นของ ซังต์ เพาลี ในยุค เฮอร์เซเลอร์ คลับคล้ายคลับคลากับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แชมป์ไร้พ่ายของ บุนเดสลีกา ในซีซั่น 2023/24 ที่ครองบอลเยอะ, เคลื่อนที่เยอะ, เข้าทำอย่างรวดเร็ว และมีสปิริตของผู้ชนะลุยจนนาทีสุดท้าย
จนทำให้ ซังต์ เพาลี ของ เฮอร์เซเลอร์ เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในฐานะแชมเปี้ยนเมื่อซีซั่นที่แล้ว ถือเป็นการเลื่อนชั้นครั้งแรกในรอบ 13 ปี โดยเจ้าตัวได้รับฉายา ‘นิว นาเกลส์มันน์’ ซึ่งเสียงของเขากระฉ่อนไปถึงประเทศอังกฤษ และมันทำให้ ไบรท์ตัน สโมสรหัวสมัยใหม่แห่ง พรีเมียร์ลีก เลือกที่จะจ้างเขาเข้ามารับตำแหน่งกุนซือในซีซั่นนี้
อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กันอยู่แล้วว่า ‘นกนางนวล’ คือสโมสรนักปั้นมือทองไม่ว่าจะเป็นการสร้างโค้ชหนุ่มชั้นดี หรือนักเตะหนุ่มชั้นยอดเพื่อขายทำกำไร พวกเขาก็ทำได้ทั้งนั้น
แนวคิดของพวกเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการวางโครงสร้างจากหลังบ้าน สร้างฟุตบอลที่เหมาะกับนักเตะหนุ่มและเป็นวิธีการแบบฟุตบอลสมัยใหม่ ที่มันตอบโจทย์ทั้งแง่ของผลการแข่งขัน, การเรียกคนดู และการทำให้นักเตะของพวกเขามีราคาด้วย
จาก แกรห์ม พ็อตเตอร์ สู่ โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ และจาก เดอ แซร์บี้ สู่ เฮอร์เซเลอร์ ในซีซั่นนี้ อายุกุนซือของ ไบรท์ตัน น้อยลงเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือโค้ชทุกคนที่กล่าวมาทำฟุตบอลในแบบเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ โทนี่ บลูม เจ้าของสโมสร และสตาฟฟ์ฝ่าย HR เลือก เฮอร์เซเลอร์ มารับงานต่อ เหตุผลง่าย ๆ คือด้วยวิธีการที่คล้าย ๆ กัน นักเตะที่ใช้จึงมีสไตล์ไม่แตกต่างกันมาก ทีมจึงไม่จำเป็นต้องโละนักเตะชุดเก่าทิ้ง แต่กลับกันโค้ชใหม่ยังเอาตัวที่มีไปต่อยอดเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย
และในฤดูกาลปัจจุบัน ไบรท์ตัน ภายใต้การคุมทีมของ เฮอร์เซเลอร์ กำลังรั้งอันดับ 6 ของตารางพรีเมียร์ลีก ซึ่งพาสโมสรแห่งนี้แพ้ไปแค่ 2 นัดเท่านั้นในเกมลีก และเกมนี้ล่าสุดก็เครื่องการันตีฝีมือให้กับเฮดโค้ชหนุ่มรายนี้ คือ การพาทีมเปิดบ้านเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป 2-1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้ว่าเส้นทางของ ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เจ้าตัวก็สามารถค้นหาหนทางที่ตัวเองถนัด จนกลายมาเป็นผู้จัดการทีมฝีมือดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของศึกพรีเมียร์ลีก
เขียนโดย LS Sport
ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง