สภาลูกหนัง: โหมโรงก่อนชิงแชมป์ UCL
แม้ว่าจะลีกของแต่ละประเทศจะจบลงไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถือว่าจบโดยสมบูรณ์ หากขาดนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก ไป ซึ่งก็เป็นการปิดฉากฤดูกาลนี้ด้วยรายการที่ใหญ่ที่สุดของทวีป และแฟนบอลต่างก็ตั้งตารอ ไม่ว่าทีมไหนจะเป็นคู่แข่งชิงชัยกันก็ตาม
นับตั้งแต่ทีมเล็ก ๆ ฟาดฟันกันมาตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบแรกเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จนมาถึงรอบแบ่งกลุ่มที่เหลือเพียง 32 ทีม แล้วห้ำหั่นกันเพื่อเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ในช่วงต้นปี และเหลือเพียง 2 ทีมสุดท้ายที่จะมาต่อสู้กันในคือวันเสาร์นี้ ว่าใครจะได้เป็น ‘จ้าวแห่งยุโรป’ ในฤดูกาลนี้
อย่างที่หลาย ๆ คนทราบกันแล้วว่า นี่จะเป็นเกมสุดท้ายของ แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนที่มีการจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันในฤดูกาลหน้าที่เพิ่มเป็น 36 ทีม แต่ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก ไว้เดี๋ยวจะมาลงรายละเอียดกันอีกทีนะครับ
เกมนี้จะเป็นการเจอกันของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ เรอัล มาดริด ที่สนามกลางอย่าง เวมบลีย์ ซึ่งชื่อชั้นรวมถึงประสบการณ์ในรอบชิงชนะเลิศบนเวทีนี้ก็ค่อนข้างต่างกันอยู่มากโข โดยที่ทางฝั่งทีมจากเยอรมนีนั้นเคยเข้าชิงเพียงแค่ 2 ครั้งและคว้าแชมป์มาครั้งเดียวเมื่อฤดูกาล 1996-97 ก็ตั้งแต่ที่ ลาร์ส ริคเค่น ซีอีโอคนปัจจุบันของสโมสรยังลงเล่นอยู่นั่นแหละครับ
ส่วนทางฟากของ ‘ราชันชุดขาว’ นั้นโชกโชนซะเหลือเกิน นี่ถือเป็นการเข้าชิงครั้งที่ 18 ของพวกเขาเข้าไปแล้ว โดยที่ 17 ครั้งก่อนหน้านี้ กระชากแชมป์มาสู่อ้อมอกของตัวเองได้ถึง 14 หน แน่นอนว่าเป็นสโมสรที่ครองสถิติคว้าแชมป์ในรายการนี้มากที่สุด ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง เอซี มิลาน อยู่ถึง 1 เท่าตัวเลยทีเดียว
ก่อนอื่นเลยขอชื่นชมทาง ดอร์ทมุนด์ ที่ฝ่าฟันมาได้จนถึงตรงจุดนี้ ซึ่งพวกเขาดันโดนมือดีจับสลากเข้าไปอยู่ใน ‘กรุ๊ปออฟเดธ’ ที่ต้องเจอทั้ง ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง, เอซี มิลาน และ นิวคาสเซิล แต่ก็สามารถถีบตัวเองเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่มมาได้
โดยเฉพาะในรอบรองชนะเลิศที่พวกเขาต้องเวียนมาพบกับ ปารีส อีกครั้ง แต่ก็สามารถเอาชนะไปได้ทั้ง 2 เกมที่เจอกันและยังสามารถเก็บคลีนชีตได้ทั้ง 2 เกมอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวินัยในเกมรับที่สามารถหยุดยั้งเกมรุกที่ดุดันของโคตรทีมจาก ลีกเอิง เอาไว้ได้อยู่หมัด
เส้นทางของ มาดริด ก็ดูไม่ได้ยากเย็นอะไรในรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการชนะรวดและเก็บ 18 คะแนนเต็มเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบชิว ๆ แต่ก็ต้องมาเจอของแข็งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นทีมที่เอาชนะพวกเขาไปได้ ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ครั้งแรกเมื่อซีซั่นที่แล้ว
แน่นอนว่า ‘ลอส บลังโกส’ ก็เรียนรู้ความผิดพลาดจากหนก่อน และสามารถบุกไปยันเสมอได้ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ก่อนทีจะเอาชนะไปได้ในการดวลจุดโทษ และเป็นฝ่ายที่ได้เข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปพบกับ บาเยิร์น มิวนิค
พวกเขาเองก็เกือบที่จะไม่ได้เข้ามาอยู่ในรอบชิงชนะเลิศแล้ว จากเกมนัดที่ 2 บนผืนหญ้าของ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว หลังจากที่ บาเยิร์น นำอยู่ 1 ประตู จนกระทั่งนักเตะตัวโจ๊กเกอร์ของ คาร์โล อันเชล็อตติ อย่าง โฆเซลู ที่ลงมาเป็นตัวสำรองก่อนซัด 2 ประตูในช่วงท้ายเกม ช่วยให้ยักษ์ใหญ่จากสเปน พลิกชนะไปได้
ทั้ง 2 ทีมเคยเจอกันมาแล้วในรายการนี้ 14 หน ซึ่งทางด้านของ ดอร์ทมุนด์ เคยเอาชนะ มาดริด ได้เพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้นเอง และยังเป็นการชนะแค่ในสนามเหย้าของตัวเองเท่านั้น โดยที่ครั้งล่าสุดที่พวกเขาเจอกันเกิดขึ้นในรอบแบ่งกลุ่มของฤดูกาล 2017-18 ซึ่งก็เป็นทางสโมสรจาก ลาลีกา ที่ชนะทั้ง 2 เกม
เกมนี้ยังเป็นเกมนัดอำลาของ 2 นักเตะชาวด๊อยซ์จากทั้ง 2 สโมสรอีกด้วย รายแรกคือ มาร์โก รอยส์ ที่หวังจะคว้าแชมป์รายการใหญ่ให้กับสโมสร กับอีกรายคือ โทนี โครส ที่มีสิทธิ์คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ให้กับตัวเอง
แล้วมาลุ้นกันว่าจะมี ‘ม้ามืด’ โผล่มาคว้าแชมป์ในรายการนี้หรือไม่ หลังจากที่พลิกล็อกกันทั้งหมดใน 2 ถ้วยยุโรปก่อนหน้านี้ รักใครเชียร์ใครหรือไม่ใช่แฟนทีมไหนก็รอรับชมกันได้เลยครับ รับรองว่ารอบชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไม่ทำให้ผิดหวังที่ต้องอดหลับอดนอนแน่นอน
เขียนโดย The Lite Team.
LS Sport ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชม.