นอกจากนั้นการที่จะต้องเจอกับ ไบรท์ตัน ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าไม่ใช่งานง่ายอย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังไม่เคยชนะ เด แซร์บี้ ได้เลยจากการดวลกัน 4 ครั้ง แบ่งเป็น เสมอ 2 แพ้ 2 แล้วนัดนี้ดันโดนนำตั้งแต่ไก่โห่ จากอดีตบุตรแห่ง โอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่าง แดนนี่ เวลเบค

ทุกคนคงรู้ดีนะครับว่า ถ้าหากเกมจบลงที่ตรงนี้ ทีมเพื่อนรักจะออกมาเพ่นพ่านตามโลกโซเชียลมากขนาดไหน แม้ว่าจะเพิ่งเสมอกับ เบรนท์ฟอร์ด ก็ตาม

แต่แล้วด้วยการที่ขุมกำลัง ‘เครื่องจักรสีแดง’ พยายามบดบี้อย่างหนัก จนได้ประตูจาก หลุยส์ ดิอาซ และ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ทำให้พวกเราพลิกชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ จะเจอกับ อาร์เซนอล

ซึ่งผลการแข่งขันคู่นั้นจบลงด้วยการเสมอกัน เป็นใจให้ ลิเวอร์พูล ครองจ่าฝูง หลังจบนัดที่ 29 มี 67 คะแนน ตามด้วย ‘ปืนใหญ่’ 65 คะแนน และ ‘เรือใบสีฟ้า’ 64 คะแนน

ตอนนี้ทุกทีมเหลือการแข่งขัน 9 นัดเท่ากันใน พรีเมียร์ลีก และยังมีคิวเตะกับ แอสตัน วิลล่า และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่กำลังแย่งอันดับ 4 กันอย่างเมามัน นอกจากนั้นทั้ง 3 ทีมยังมีโปรแกรมฟุตบอลยุโรป รอบก่อนรองชนะเลิศ ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง

อย่างไรก็ตามก่อนจะถึงตอนนั้น งานยากที่สุดของพลพรรค ‘หงส์แดง’ คือต้องไปเยือนทีมคู่อริตลอดชาติทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ ลิเวอร์พูล ได้สตาร์ทรถเครื่องแห่แชมป์

การที่ทุกอย่างอยู่ในกำมือตัวเอง ก็ดีกว่าต้องคอยตามลุ้นให้ทีมอื่นสะดุด เพราะเคยผ่านการแช่งทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาแล้วแต่ไม่สำเร็จถึง 2 ครั้ง ดังนั้นเส้นทางต่อจากนี้ คงไม่ขออะไรมากนอกจากชนะให้ได้ทุกนัด แล้วจะได้ฉลองโทรฟี่ที่ ‘เดอะ ค็อป’ อยากได้มากที่สุด แบบมีแฟนบอลกันสักที