Top 5: ศึก ‘แดงเดือด’ บนเวที ‘เอฟเอ คัพ’
สองทีมที่มีถ้วยรางวัลสูงสุดของเกาะอังกฤษ จะโคจรมาพบกันเป็นครั้งที่ 213 ใน เอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งก่อนหน้านี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล เคยห้ำหั่นกันในรายการนี้มาแล้วรวม 18 ครั้ง ซึ่ง 5 แมตช์ที่น่าสนใจมากที่สุด จะเป็นเกมไหนบ้าง ไปดูกันเลยครับ
เกร็ดน่ารู้: หากจะนับผลการแข่งขันเฉพาะในฟุตบอลถ้วยรายการเก่าแก่ที่สุดในแผ่นดินมนุษย์ ถือว่า ‘ปีศาจแดง’ เหนือกว่าอยู่สมควร โดยเอาชนะได้ 10 ครั้ง เสมอ 4 ครั้ง และแพ้แค่ 4 ครั้ง และหากคืนวันอาทิตย์นี้จบลงแบบเจ๊ากัน จะมีการต่อเวลา และยิงจุดโทษรู้ผลทันที
5. การพบกันครั้งแรก
วันที่ 8 มกราคม 1921
มากกว่า 100 ปีที่แล้ว นี่ถือเป็นการพบกันครั้งแรกในรายการนี้ เมื่อนับตั้งแต่ทัพ ‘ปีศาจแดง’ เปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยผลการแข่งขันในเกมดังกล่าวจบลงด้วยการเสมอ 1-1 ก่อนที่ ‘เครื่องจักรสีแดง’ จะเป็นฝ่ายชนะ 2-1 ในนัดรีเพลย์
แต่สำหรับใครที่สงสัยว่าถ้าจะนับตั้งแต่ที่ ‘ผีแดง’ ยังเป็น นิวตัน ฮีท คู่นี้เริ่มต้นดวลแข้งกันตอนไหน ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1894 ในเกมอุ่นเครื่อง ก่อนที่เกมทางการนัดแรกจะมาถึงในปีถัดมา ตอนนั้นทั้งสองทีมยังอยู่ ดิวิชั่น 2 โดยผลการแข่งขันเป็นฝั่ง ลิเวอร์พูล ถล่มไป 7-1 ซึ่งเป็นสกอร์ขาดลอยที่สุด ก่อนจะเกิดตัวเลข 7-0 เมื่อปีที่แล้ว
4. การพบกันครั้งล่าสุด
วันที่ 24 มกราคม 2021
ครบ 100 ปีพอดี สำหรับการที่ทั้งสองทีมเจอกันในรายการนี้ครั้งแรก ซึ่งเกมนั้นจบลงด้วยชัยชนะ 3-2 ของฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด จากประตูของ เมสัน กรีนวู้ด, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ บรูโน่ เฟอร์นานเดส ซึ่งสองลูกยิงสุดสวยของ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ยังคงไม่เพียงพอสำหรับฝั่ง ‘หงส์แดง’
11 ผู้เล่นตัวจริงของทั้ง 2 ฝั่งในวันนั้น ยังอยู่กับทีมชุดปัจจุบันข้างละ 6 คนเท่ากัน แน่นอนว่าหลายคนคงจะได้ออกสตาร์ทเช่นเดิม แต่ว่าบางส่วนก็คงไม่แม้แต่จะมีชื่อบนม้านั่งสำรอง เนื่องด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ
3. ดวลรอบชิงชนะเลิศครั้งแรก
วันที่ 21 พฤษภาคม 1977
เหลือเชื่อว่าทั้งสองทีมต้องรอกันยาวนานมากกว่า 50 ปี ถึงจะได้โคจรมาพบกันในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ซึ่งจะบอกว่านี่ถือเป็นเกมเจ็บลึกบาดแผล ของฝั่ง ‘สเกาเซอร์’ ได้เลย นั่นก็เพราะว่าฤดูกาลนั้นมีโอกาสคว้า ทริปเปิ้ล แชมป์ ได้เป็นทีมแรกของเกาะอังกฤษ
พวกเขาได้ถ้วย ดิวิชั่น 1 ไปครองก่อนแล้ว แต่กลับปราชัยต่อคู่แค้นตลอดกาล 2-1 ซึ่งถึงแม้ว่าไม่กี่วันต่อมา จะได้โทรฟี่ ยูโรเปี้ยน คัพ มาครอบครอง แต่ว่านัดนี้ก็เหมือนเป็นเสี้ยนหนามในปีนั้น หนำซ้ำในประวัติศาสตร์ของทีมจากแดนผู้ดีที่คว้า 3 แชมป์ได้สำเร็จ ก็ล้วนแต่มาจากเมืองแมนเชสเตอร์เท่านั้น
2. ยิงโหดเหมือนโกรธกัน
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2006
ไม่น่าเชื่อว่านี่คือชัยชนะของ ลิเวอร์พูล เหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด ใน เอฟเอ คัพ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 85 ปี จากลูกโหม่งประตูโทนของ ปีเตอร์ เคราช์ แต่สิ่งที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดแม้จะผ่านมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้วนั่นก็คือลูกยิงบรรลัยกัลป์ของ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่
แบ็คซ้ายรายนี้เตะฟรีคิกอัดเข้าเต็มแข้งใส่ อลัน สมิธ จนลงมาขาหักอย่างสยดสยอง ขนาดว่า รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่เดินเข้าไปดูอาการถึงกับรีบหันหลังกลับทันที แต่ในเรื่องร้ายเรายังได้เห็นความสวยงามของฟุตบอลอยู่บ้าง เมื่อทีมแพทย์ของฝั่งเจ้าบ้านรีบเข้าไปให้ความช่วยเหลือทันที รวมไปถึงเหล่า ‘เดอะ ค็อป’ ยังปรบมือให้กำลังใจในสนาม แอนฟิลด์
1. แฟชั่นโชว์ และการเปลี่ยนยุคสมัยโดยสมบูรณ์
วันที่ 11 พฤษภาคม 1996
ตามธรรมเนียมของฟุตบอล เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ในสมัยนั้นที่ผู้เล่นทั้งสองฝั่งจะสวมชุดสูทเดินลงสู่สนามในช่วงก่อนแข่ง ประหนึ่งว่าจะไปเดิน ลอนดอน แฟชั่น วีค โดยเฉพาะฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่สวมชุดขาวเจ้าสำอางค์ สมฉายา ‘สไปซ์ บอย’
เกมทำท่าจะจบลงด้วยผลเสมอ ไปต่อเวลากันอยู่รอมร่อ แต่แล้วท้ายเกม ลูกเปิดเตะมุมของ เดวิด เบคแฮม เข้ากรอบเขตโทษ เดวิด เจมส์ ดันชกบอลไปแฉลบ เอียน รัช มาเข้าทางปืน เอริค คันโตน่า ถอยหลังวอลเลย์เข้าประตูไปเป็นลูกยิงขึ้นหิ้งตลอดกาล
ระดับความสำคัญของเกมนี้ คือกูรูหลายคนลงความเห็นตรงกันว่า นี่เป็นหมุดหมายในการสิ้นสุดยุคสมัยยิ่งใหญ่ของทีมจากย่าน เมอร์ซี่ย์ไซด์ มาเป็นแคว้น แลงคาเชียร์ โดยสมบูรณ์แบบ
ความสำคัญของเกมวันอาทิตย์นี้ คือจะเป็นการดวลกันในฟุตบอลถ้วยครั้งสุดท้ายของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งแน่นอนว่าสาวก ‘เร้ด เดวิล’ คงไม่อยากให้งานเลี้ยงของกุนซือที่เคยทะลวงลำไส้พวกเขาไว้ จบลงอย่างสวยงาม ซึ่งถ้าเป็นไปได้ ก็ขอล้มโต๊ะจีนด้วยตัวเอง คงจะสะใจกว่าต้องไปหวังพึ่งพาเพื่อนร่วมเมืองเหมือนช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เขียนโดย 38 Drinks
The Lite Team.