นอกจากผลงานในระดับหัวจ่ายที่แย่งซีนในช่วงเวลานี้ไปทั้งหมดแล้วนั้น มิเกล อาร์เตต้า กำลังต้อนรับการกลับมาของเหล่าบรรดาลูกทีมที่ไปนอนเดี้ยงมาเป็นเวลานมนาน โดยเฉพาะ โธมัส ปาร์เตย์ ที่ออกสตาร์ทบนซุ้มม้านั่งสำรองและมีส่วนร่วมกับเกมได้สักที ขณะที่ในรายของ ฟาบิโอ วิเอร่า และ กาเบรียล เฆซุส ก็หวนลงสนามได้อีกครั้ง

ในเกมถลุง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 6-0 หากไม่นับ เลอันโดร ทอร์สซาร์ด ที่ลงมาในนาที 74 ต้องบอกว่าทั้ง 3 คนที่กล่าวมาข้างต้นนั้นยังห่างไกลกับฟอร์มที่พวกเขาเคยทำเอาไว้ ซึ่งมันก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการปรับจังหวะให้เข้าที่เข้าทาง ส่วนในรายของ เซดริก โซอาเรส เหมือนเป็นการลงมาเพื่อนับถอยหลังกับสโมสรเสียมากกว่า

หากพูดถึงอาการบาดเจ็บที่มักจะเป็นปัญหาใหญ่ของสโมสรจากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว หนึ่งในข้อดีที่สุดของมันคงจะหนีไม่พ้นกับการที่เราได้เห็นผู้เล่นบางคนที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสแต่กลับมาเฉิดฉายได้ในเวลาที่ถูกที่ควร โดยเฉพาะ จอร์จินโญ่ และ ยาคุป คิวิออร์ 

มิดฟิลด์ชาวอิตาลีเหมือนได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลังได้ลงเล่นเคียงข้าง ดีแคลน ไรซ์ การเคลื่อนที่ที่ชาญฉลาดและการผ่านบอลสั้น-ยาวที่คมกริบ ส่งผลให้ อาร์เซนอล เหมือนติดอาวุธร้ายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชนิดทันที ยิ่งถ้าหากเกมรับของคู่แข่งตามสปีดบอลของพวกเขาไม่ทันแล้วล่ะก็! เราจะยิ่งได้เห็นคุณภาพแบบเต็มคาราเบลของ ‘พี่จอร์‘ อย่างแน่นอน!

ส่วนในรายของ คิวิออร์ ตั้งแต่ย้ายเข้าร่วมกรุงลอนดอน ไม่เคยมีเกมที่รีดฟอร์มได้น่าประทับใจเลย อีกทั้งยังเจอแฟนบอลกลุ่มใหญ่สวดใส่ไม่เว้นวัน แต่เนื่องด้วยการขาดแคลนแบ็คซ้ายอย่างหนัก จึงทำให้ปราการหลังชาวโปด์แลนด์ได้รับหน้าที่จำเป็นและสวมบทฮีโร่กอบกู้ดินแดนทางกาบข้าง จนปัจจุบันแฟนบอลหันมาถามกันว่า "ซินเชนโก้ คือใคร?"

ในเวลานี้ อาร์เซนอล กำลังจะกลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบเข้าเต็มที นักเตะอีกเพียง 2-3 รายกำลังจะพร้อมมีส่วนร่วมในสนาม ยิ่งไปกว่านั้นแฟนบอลอย่างผมแมร่งโคตรตื่นเต้นที่จะได้เห็นฟอร์มของ เยอร์เรียน ทิมเบอร์ ลงโม่แข้งแบบเต็มอัตราศึกให้กับทีมในช่วงท้ายฤดูกาลนี้สักที

ก็อย่างที่ว่านั่นแหละครับ! ทีมกำลังอยู่ในช่วงมั่นใจทำอะไรก็ดีไปหมด เหนือสิ่งอื่นใดที่สำคัญต่อจากนี้คือการรักษาโมนเมนตั้มนี้เอาไว้ต่อไป ซึ่งถ้าหากทำไม่ได้ก็คงไม่มีค่าอะไรเลยหากมองย้อนจากบทเรียนในซีซั่นที่ผ่านมา