จากรูปเกม เสมือนว่า ‘หงส์แดง’ บินเข้าไปหลงในแดน ‘เจ้าป่า’ เกือบ 100 นาที จนกระทั่งมีชายนามว่า ดาร์วิน นูนเยซ เข้ามาจูงมือกลุ่มเพื่อนของเขา เดินออกจากป่าได้สำเร็จ ด้วยการโขกประตูชัยช่วงทดเจ็บนาทีที่ 9 ของครึ่งหลัง

ประตูเดียวของ ลิเวอร์พูล ในเกมนั้น ทำให้นักเตะ สตาฟฟ์โค้ช รวมถึงแฟนบอลทั้งที่อยู่บนอัฒจันทร์ของสนาม และที่อยู่หน้าจอทั่วทุกมุมโลก ระเบิดอารมณ์ด้วยความบ้าคลั่งออกมา เพราะมันคือ 3 แต้มอันล้ำค่า ที่อาจจะพาไปถึงฝั่งฝันในนัดสุดท้ายของซีซั่นก็ได้

ถ้าย้อนกลับตั้งแต่แรกเริ่ม ก็จะรู้ว่าทำไม ‘เดอะ เรดส์’ เป็นทีมจอมคัมแบ็คได้เรื่อยมา ไล่ตั้งแต่นัดที่ 2 ของซีซั่นที่พลิกกลับมาชนะ บอร์นมัธ ต่อด้วยบุกไปเฉือน นิวคาสเซิล ทั้งที่ ลิเวอร์พูล เหลือ 10 ตัว และการแซงคว้าชัยเหนือ วูล์ฟส์ ในนัดที่ 5 ของซีซั่น

ยังไม่พอมีนัดที่ต้องยิงตีเสมอแทบจะวินาทีสุดท้าย ในนัดที่ไปเยือน ลูตัน ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน และเดือนต่อมาในนัดที่เฉือนชนะ 4-3 เหนือ ฟูแล่ม ซึ่งทั้งคู่ผลัดกันนำผลัดกันตามอย่างสุดมันส์

เกมที่กล่าวมาเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางสภาพจิตใจของ ‘เดอะ เรดส์’ ที่ไม่ยอมแพ้ให้กับอะไร และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะใช้ต่อกรกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้แย่งแชมป์ลีกเกือบตลอดในช่วงหลัง รวมถึง อาร์เซนอล ที่ก็ตามไล่จี้มาแบบติด ๆ ในซีซั่นนี้อีกด้วย

นัดที่ ลิเวอร์พูล จะเปิดรัง แอนฟิลด์ ต้อนรับ ‘เรือใบสีฟ้า’ ในค่ำคืนวันอาทิตย์หน้า จะยังไม่ใช่นัดตัดสินแชมป์ พรีเมียร์ลีก เพราะทั้งคู่ยังมีลุ้นชูโทรฟีลีกสูงสุดแดนผู้ดีไปยาว ๆ จนกว่าจะถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2024

ในฐานะแฟนบอล ‘เดอะ ค็อป’ ที่เชียร์มา 12 ปี คิดว่า ลิเวอร์พูล คงจะสร้างปาฏิหาริย์โกงความตายได้อีกแน่ เพราะโปรแกรมยากยังคงหลงเหลืออยู่หลังจากนี้ เพื่อให้ภารกิจบนลีกสูงสุดจบลงด้วยการยกถ้วย พรีเมียร์ลีก สุดแขน ก่อนที่ เจอร์เกน คล็อปป์ จะก้าวออกจากทีมไปตลอดกาล