เปิดประตูแอนฟิลด์: แชมป์ถ้วยเล็ก ที่มีความหมายยิ่งใหญ่
กว่าจะได้โทรฟี ลีกคัพ มาครองนั้น พูดได้เต็มปากเลยว่า เลือดตาแทบกระเด็น หลังต้องตัดสินหาผู้ชนะ ช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที และนี่คือถ้วยใบแรกของ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของโค้ชชาวดอยช์ อย่าง เจอร์เกน คล็อปป์
ก่อนคิกออฟ ได้เห็น 11 ตัวจริงของทั้ง ลิเวอร์พูล และ เชลซี ก็ถือว่าคู่คี่สูสีกันมาก ๆ แต่เมื่อมองไปที่ม้านั่งสำรองของ ลิเวอร์พูล บอกเลยว่า มีแต่ละอ่อนน้อยทั้งนั้นเลย ถ้าไม่นับ อาเดรียน ที่เป็นนายทวารสำรอง ก็มีแค่ คอสตาส ซิมิกาส, โจ โกเมซ และ จาเรลล์ ควอนซาห์ ที่พอมีประสบการณ์บ้าง นอกนั้นไม่รู้จักจริง ๆ
แค่นี้ก็หนักหนาพอแล้ว แถมโชคชะตายังกลั่นแกล้งให้ ไรอัน กราเฟนแบร์ก เจ็บไปอีกคน ถึงขั้นหามเปลออกจากสนาม ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของเกม ถ้าดูด้วยสายตา คงจะสาหัสอยู่
นัดชิง อีเอฟแอล คัพ ปีนี้ เรียกว่า สนุกครบรสได้เลย เพราะตลอดทั้ง 90 นาที ทั้งคู่มีโอกาสส่งบอลข้ามเส้นประตูไปตั้งหลายครั้ง แต่ก็โดนซูเปอร์เซฟบ้าง โดนเสาโดนคานบ้าง หรือยิงเข้าไปแล้วแต่โดน วีเออาร์ ริบคืนบ้าง ทำให้ทั้ง 2 ทีม ยังยิงประตูไม่ได้ในช่วงเวลาปกติ
เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ทีมของ คล็อปป์ เต็มไปด้วยเด็กที่ลงมาวิ่งเล่นบนสนาม จนกระทั่ง ‘เดอะ ค็อป’ ตะโกนเสียงเฮลั่น เวมบลีย์ ช่วง 2 นาทีสุดท้ายก่อนดวลลูกจุดโทษ หลังกัปตันทีม อย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โหม่งจังหวะลูกเตะมุม พาบอลเข้าไปนอนที่ก้นตาข่าย
กองหลังดัตช์รายนี้ เกือบจะร้องไห้ออกมา หลังเพิ่งพังประตูที่จะส่งทีมขึ้นไปรับโทรฟี และเมื่อสิ้นเสียงนกหวีด แข้ง ลิเวอร์พูล ที่อยู่ข้างสนาม ทั้งตัวสำรองและตัวเจ็บ ต่างวิ่งลงมาดีใจกับแข้งที่อยู่บนสนาม แฟนบอลบางคนถึงกับแซวว่า นี่เจ็บจริงใช่ไหมเนี่ย
ตอนพิธีรับถ้วย คงจะได้เห็น ฟาน ไดค์ เรียก คล็อปป์ ให้มาร่วมชูถ้วยพร้อมกัน นั่นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความจริงจังที่มีต่อรายการนี้ แม้จะโดนค่อนขอดว่าเป็น ‘มิกกี้เมาส์ คัพ’ ก็ตาม
สำเร็จไปแล้ว 1 ภารกิจสำหรับ ลิเวอร์พูล กับการคว้าถ้วย ‘น้าแอ๊ด’ มาครอง ต่อจากนี้ยังเหลืออีก 3 ภารกิจที่ต้องไปให้ถึงดวงดาว เพื่อใช้ส่งท้ายและอำลา เจอร์เกน คล็อปป์ อย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ
เขียนโดย The Lite Team.