หนำซ้ำเริ่มเกมไปได้แค่แปปเดียว ผมยิ่งรู้สึกตาสว่างไปกันใหญ่ เมื่อแนวรับของฝั่ง ลิเวอร์พูล ดันหลุดโฟกัสในจังหวะป้องกัน จนเป็นที่มาของการเสียประตู และกลายเป็นทีมเยือน ที่บุกมานำเจ้าบ้านไปก่อน จากปีกไฮสปีดชาวไอร์แลนด์ อย่าง ชีโดซี ออกเบเน

และเมื่อ ลูตัน เจาะตาข่าย ‘หงส์แดง’ ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ฝ่ายตามหลัง จะต้องหาทุกวิถีทางที่จะทำให้ลูกบอลข้ามเส้นประตูให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งทำยังไง มันก็ยิงไม่เข้าในครึ่งแรก ทั้งยิงไม่ดีบ้าง ทั้งโดนคู่แข่งสกัดบอลบ้าง โดนเซฟบ้าง

สาวก ‘เดอะ ค็อป’ คงจะมุ่งรถทัวร์ไปที่ หลุยส์ ดิอาซ มากเป็นพิเศษ เนื่องจากได้โอกาสสับไกมากที่สุดของทีม แต่กลับกลายเป็นว่า ไม่มีประตูจากแข้งโคลอมเบียรายนี้เลย ราวกับถูก ดาร์วิน นูนเยซ เข้าสิง

แต่แล้วช่วงพักครึ่ง เจอร์เกน คล็อปป์ คงจะด่าชุดใหญ่ไฟกะพริบใส่พวก 11 ตัวจริงในห้องแต่งตัวไปแน่ ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นกุนซือชาวเยอรมัน ก็มีจังหวะตวาดลูกทีมก่อนจบ 45 นาทีแรก โทษฐานที่ใช้โอกาสเปลืองมากจนเกินไป

โดยเมื่อกลับมาลงสนามในครึ่งหลัง ผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล เล่นด้วยความดุดันมากขึ้นหลายเท่าตัว ชนิดที่ ลูตัน โงหัวไม่ขึ้น ต้องตั้งรับอย่างเดียว

ความพยายามค้นหาประตูตีเสมอ ก็มาสัมฤทธิ์ผลจากจังหวะลูกเตะมุมที่ อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ เปิดบอลให้กัปตันทีม เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โขกเข้าเต็มกบาล และอีกแปปเดียว ก็มาได้ประตูแซงนำจาก โคดี กักโป

หลังจากนั้น ฝั่ง ลูตัน เหมือนเกิดอาการรวนจนล่กก็ว่าได้ จึงเป็นที่มาของ 2 ประตูที่เหลือ ซึ่งได้จาก หลุยส์ ดิอาซ และปิดท้ายด้วย ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์

ซีซั่นนี้ ลิเวอร์พูล ถือว่าเป็นทีมจอมคัมแบ็ก ซึ่งมีหลายเกมที่พลิกนรกจากแพ้เป็นชนะได้ แต่ก็อยากติว่า เมื่อไหร่จะเล่นดีตลอด 90 นาที ทำไมต้องเล่นดีแค่ครึ่งหลัง ผมไม่เข้าใจจริง ๆ

อีก 3 วันต่อจากนี้ ลิเวอร์พูล มีภารกิจสำคัญอันใกล้นี้ คือ การคว้าถ้วย ลีกคัพ มาให้ได้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการไล่ล่าแชมป์อีก 3 รายการ ทั้ง พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า ยูโรป้าลีก