ผลเสมออันล้ำค่าที่ส่ง ทีมชาติไทย เข้ารอบ เอเชียน คัพ 2023
แม้ว่าเกมนัดที่สองของทีมชาติไทย ในศึกเอเชียน คัพ 2023 รอบแบ่งกลุ่ม กับโอมาน จะจบลงด้วยสกอร์ 0-0 แต่หนึ่งคะแนนอันล้ำค่าก็กลายเป็นแต้มประวัติศาสตร์ที่จะส่งเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
ณ วันเวลาที่เขียนโอกาสเข้ารอบต่อไปของ ‘ช้างศึก’ จะยังไม่ 100% แต่โอกาสมันก็มากกว่า 99% โดยทาง Opta ให้ไว้ที่ 99.92% ดังนั้นถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางฟุตบอล ยังไงเราก็เข้ารอบอย่างน้อยที่สุดก็ในฐานะรองแชมป์กลุ่มด้วยซ้ำ
ถ้าจะให้พูดถึงเกมกับ โอมาน ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งจากตะวันออกกลาง ที่ได้ปะทะกันบ่อย หนล่าสุดก็เกมอุ่นเครื่องเมื่อปี 2021 ซึ่งสถิติแพ้ชนะไม่ได้หนีห่างกันมากนัก เอาง่ายๆ ว่าเล่นที่บ้านใคร ฝ่ายนั้นก็เป็นฝ่ายคว้าชัย ดังนั้นถ้าจะบอกว่าไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว ก็พอจะยอมรับได้
เกมนี้ มาซาทาดะ อิชิอิ ยึดผู้เล่น 11 ตัวจริงเหมือนเกมแรกทุกประการ ก่อนเกมก็ออกโรงชมว่าคู่แข่งมีเกมรุกที่ดี ซึ่งแน่นอนเป้าหมายหลัก ของท้้งเฮดโค้ชชาวญี่ปุ่น และแฟนบอลชาวไทยเอง ก็คือการเก็บผลเสมอให้ได้ ชนะได้คือกำไร เพราะการได้ 4 คะแนนก็แทบจะการันตีการเข้ารอบแบบที่เราเกริ่นไว้ด้านบน
แน่นอนทั้งคู่พอใจกับผลเสมอ เพราะทางฝั่งโอมาน เองก็คิดว่าตัวเองไปอัด คีร์กีซสถาน ในนัดสุดท้ายเอาก็เพียงพอที่จะเข้ารอบในฐานะอันดับ 3 ที่ดีที่สุดเป็นอย่างน้อย ทำให้รูปเกมออกมาค่อนข้างที่จะอึดอัด หรือจะให้พูดอีกแบบก็คือค่อยข้างที่จะน่าเบื่อ ทั้งสองทีมต่างระมัดระวังกันในแทบจะทุกจังหวะ จนสุดท้ายมีโอกาสยิงกันไปเพียงทีมละ 6 ครั้ง
ตามปกติแล้ว เกมรับ คือจุดอ่อนของ ‘ทีมชาติไทย’ ดังนั้นเกมที่ต้องเน้นผลการแข่งขันเอามากๆ หรือยันเสมอให้ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ชอบ และมักจะมีจังหวะผิดพลาดจนผิดหวังเสมอมา แต่ไม่ใช่กับ ‘ช้างศึก’ ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของซามูไร ตลอด 2 เกมที่ผ่าน แนวรับโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นเอามากๆ จนเก็บคลีนชีทได้ทั้งสองนัด และคนที่โดดเด่นที่สุดคงจะหนีไม่พ้น 2 คู่หู พรรษา เหมวิบูลย์ กับเอเลียส ดอเลาะ ที่เอาลูกกลางอากาศอยู่หมัดทุกจังหวะ
“เกมรุกทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์" วลีอมตะที่ออกมาจากปาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และในทัวร์นาเมนต์นี้ เกมรับส่งให้ทีมชาติไทย ทะลุเข้ารอบต่อไปเป็นที่เรียบร้อย
หากมาลองไล่ดูประวัติศาสตร์ อาเชียน คัพ กันหน่อย ไทย เข้ารอบสุดท้ายมาเล่นทั้งหมด 7 ครั้ง เก็บชัยชนะได้เพียง 2 นัดจาก 24 นัดที่ได้โชว์ฟอร์ม เช่นเดียวกันกับการผ่านด่านรอบแบ่งกลุ่ม ไทย ทำได้เพียง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1972 ที่รับหน้าเป็นเจ้าภาพ และจบด้วยการเป็นอันดับ 3 ซึ่งตอนนั้นมีเพียง 6 ชาติเข้าร่วม และเราไม่ชนะใครเลย (เว้นการดวลจุดโทษในนัดชิงอันดับ 3) ส่วนครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา
แม้ครั้งล่าสุดจะไม่ได้นานขนาดนั้น แต่ด้วยฟอร์มช่วงหลังก่อนการเข้ามาของ อิชิอิ ซึ่งมาเปรียบเทียบกับ 2 เกมในเอเชียน คัพ ครั้งนี้ ทำให้แฟนบอลชาวไทย ต่างปลื้มใจ ที่เห็นทรงบอลที่เล่นได้ชัดเจน และจับต้องได้ที่สุดในรอบหลายๆ ปี
ฟอร์มการเล่น 2 นัดที่ผ่านมา โดยเฉพาะเกมรับที่ไม่เสียประตูเลย คือสิ่งล้ำ แม้ว่าผลงานจะไม่ได้เลิศเลอ เก็บชัยชนะ 100% หรือชนะด้วยความเด็ด แต่ทั้งหมดนี้คือพัฒนาไปทีละขั้น ภายใต้การกำกับของคนที่ (คิดว่า) ถูกต้อง จนเป็นเหตุผลให้แฟนบอลชาวไทย อิ่มกับการดูบอลตลอดทั้ง 2 นัดที่ผ่านมา และเชื่อว่านัดต่อๆ ไปที่เหลือ คือโบนัส ที่ต่อให้จะแพ้ก็ไม่มีอะไรมาให้เสียใจ
ถ้ามองข้ามช็อตเกมต่อไปกับ ซาอุดิอาระเบีย ไป และคิดว่ายังไงก็แพ้แน่ๆ และเราจบด้วยการเป็นรองแชมป์กลุ่ม คู่แข่งในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่มีโอกาสจะเจอด้วยคือ อันดับ 2 ของกลุ่ม บี ที่มีโอกาสเป็นออสเตรเลีย, อุซเบกิสถาน หรือซีเรีย แต่อย่างที่บอกว่า ณ เวลานั้นทุกจังหวะคือโบนัสของทีมชาติไทย ไปแล้ว
เขียนโดย Maxzio.
The Lite Team.