แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้ลงเตะไปก่อนหน้านี้ ได้ปาดหน้าขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2 เป็นที่เรียบร้อย โดยที่ทำคะแนนจี้หลังจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล เหลือเพียงแค่ 2 คะแนน และยังมีเกมตกค้างอยู่ในมืออีก 1 เกมด้วย

ในส่วนของโซนท้ายตารางก็ยังคงเป็นหน้าเดิม ๆ โดยที่ศึกหนีตายระหว่าง เบิร์นลีย์ และ ลูตัน ทาวน์ ก็จบลงด้วยผลเสมอ รวมถึง เอฟเวอร์ตัน ก็เก็บเพิ่มมาได้อีก 1 คะแนนจากเกมเปิดบ้านพบ แอสตัน วิลล่า

มาดูในเกมของสัปดาห์นี้ที่จะเปิดหัวด้วยคู่หัวค่ำวันเสาร์ ซึ่งเป็น ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ เกมที่ 3 ติดต่อกันของ อาร์เซนอล โดยที่ก่อนหน้านี้พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับ เวสต์แฮม และ ฟูแล่ม ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

สำหรับคู่แข่งในเกมนี้ก็คือ คริสตัล พาเลซ ซึ่งถือว่าเป็นทีมที่พวกเขาผูกขาดชนะรวดมาถึง 3 นัดหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก รวมถึงทีมของ รอย ฮอดจ์สัน บุกมาชนะได้ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เพียงแค่ครั้งเดียวจากการเจอกันในสนามแห่งนี้ 12 ครั้งหลังสุด

ถือเป็นโอกาสอันดีของ มิเกล อาร์เตต้า ที่จะพาลูกทีมทำอันดับกลับไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตารางคะแนนอีกครั้ง

ต่อกันที่คู่ที่ 2 ประจำสัปดาห์เป็นการพบกันระหว่าง เบรนท์ฟอร์ด ที่ลงเล่นไปเพียง 19 เกมในลีก น้อยกว่าชาวบ้านชาวช่อง จะเปิดบ้านพบกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่กำลังโดนกฏการเงินเล่นงานอยู่ในตอนนี้

ทีมของ โธมัส แฟรงค์ กำลังมีปัญหาอย่างหนักเรื่องฟอร์มการเล่นของพวกเขา โดยที่คว้าชัยชนะได้เพียงแค่เกมเดียวจาก 8 เกมหลังสุด นอกนั้นแพ้รวด ทำให้รูดหล่นลงมาอยู่ในอันดับที่ 16 ห่างจากพื้นที่สีแดงเพียงแค่ 3 คะแนนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ฟอเรสต์ เองก็มีสถิติที่ไม่ค่อยดีกับการไปเยือนทีมในเมืองหลวงตั้งแต่ที่ได้เลื่อนชั้นกลับมาเมื่อซีซั่นก่อน โดยที่โดนล่อไปแล้วถึง 29 ประตูกับการลงเล่น 12 เกมในลอนดอน เฉลี่ยคือโดนยิง 2.4 ประตูต่อเกมเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ‘เจ้าป่า’ ยังมีอันดับเหนือกว่า ‘ผึ้งพิฆาต’ เพียงแค่อันดับเดียวและคะแนนเดียวเท่านั้น ต้องมารอดูกันว่าหลังจบเกมนี้ สถานการณ์จะพลิกผันไปหรือไม่

โยกมากันอีก 2 คู่ในวันอาทิตย์ โดยเกมแรกของวันจะเป็นคิวของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด อีกหนึ่งทีมในโซนตกชั้น จะเปิดบ้านพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

บ๊วยของตารางอย่าง ‘ดาบคู่’ ไม่ได้ดีขึ้นเลย แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนกุนซือกลับมาเป็น คริส ไวล์เดอร์ อีกครั้งเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม โดยที่พาทีมลงเล่นไปแล้ว 6 นัดในลีกและเก็บชัยชนะได้เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น

ข้อได้เปรียบในเกมนี้ของพวกเขาคือการที่ ‘ขุนค้อน’ เพิ่งลงเล่นเกม เอฟเอคัพ รอบรีเพลย์ เมื่อกลางสัปดาห์ กับการได้ลงเล่นใน บรามอล เลน แค่นี้เลยจริง ๆ นอกนั้นเสียเปรียบในทุก ๆ ด้านเลย

ทีมของ เดวิด มอยส์ เองก็มีสถิติที่ยอดเยี่ยมยามต้องลงเล่นกับ 3 ทีมท้ายตาราง โดยที่พวกเขาชนะมาแล้ว 12 นัดติด รวมถึงการชนะคู่แข่งในเกมนี้เมื่อเดือนกันยายนด้วยสกอร์ 1-0

มาถึงไฮไลท์ประจำสัปดาห์นี้อย่าง บอร์นมัธ ที่จะพบกับ ลิเวอร์พูล จ่าฝูงของตารางคะแนน ณ เวลานี้ แม้ว่าทีมของ อันโดนี อิราโอล่า จะอยู่ในอันดับที่ 12 แต่ 8 เกมหลังสุดของพวกเขาในลีก เพิ่งพ่ายแพ้ไปเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการแพ้ให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในเกมส่งท้ายปี

ทางฝั่งของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยพาทีมบุกมาชนะที่ ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม แล้วหนึ่งครั้งในซีซั่นนี้ โดยเป็นเกม คาราบาวคัพ เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน และคาดว่าน่าจะเป็นอีกครั้งที่พวกเขาจะมาเอาชนะในสนามแห่งนี้ได้ เพื่อทำคะแนนหนี แมนฯ ซิตี้ ที่ไล่ตามมาอย่างติด ๆ

มาถึงคู่สุดท้ายประจำสัปดาห์ ซึ่งจะลงเล่นในคืนวันจันทร์ โดยเป็นเกมระหว่าง ไบรท์ตัน และ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่สนาม เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม

ทีมของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ สามารถแซงหน้าทั้ง เวสต์แฮม และ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นไปอยู่ในอันดับ 6 ของตารางได้เลย หากพวกเขาสามารถคว้า 3 คะแนนมาได้ในเกมนี้ รวมถึงต้องลุ้นให้ทีมของ มอยส์ ไม่ชนะในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ฟอร์มของพวกเขายังไม่ค่อยมีความคงเส้นคงวาสักเท่าไร โดยที่พวกเขาคว้าชัยชนะในเกมลีกมาได้เพียงแค่เกมเดียวจากการลงเล่น 5 เกมหลังสุด นอกจากนี้ยังเพิ่งเก็บมาได้คลีนชีตเดียวตลอดทั้งฤดูกาลอีกด้วย

ด้านของ ‘หมาป่า’ เพิ่งเก็บชัยชนะมาได้ 3 นัดรวดในลีก ซึ่งพวกเขาไม่เคยทำได้ 4 นัดติดมาก่อนนับตั้งแต่ปี 1972 และสถิติการเจอกับ ‘นกนางนวล’ ในระยะหลังก็ย่ำแย่เอามาก ๆ  โดยที่แพ้ 4 นัดติดต่อกันและโดนยิงอย่างต่ำ 3 ประตูในทุกครั้ง

หลังจากที่จบแมตช์วีคนี้ไป ก็จะเป็นคิวของ เอฟเอคัพ รอบที่ 4 ในสัปดาห์หน้า และทั้ง 20 ทีมจะกลับมาลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันในช่วงกลางสัปดาห์ปลายเดือนต่อต้นเดือนกุมภาพันธ์

รอดูกันต่อไปเรื่อย ๆ สำหรับสถานการณ์การลุ้นแชมป์ว่า ‘เรือใบสีฟ้า’ จะพลิกกลับมาได้หรือไม่ และทีมน้องใหม่ทั้ง 3 ทีมจะมีใครที่ดิ้นหลุดจากโซนตกชั้นและอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้ต่อไปหรือไม่ ลุ้นกันยาว ๆ ครับพี่น้องงงง

เขียนโดย Uncle Bear

The Lite Team.