แพ้ญี่ปุ่นหนนี้เพื่อเห็นความต่างของทีมชาติไทย กับระดับโลก
ทีมชาติไทย เพิ่งประเดิมอุ่นเครื่องต้อนรับปี 2024 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม กับทีมชาติญี่ปุ่น และผลก็ออกมาแบบไม่ผิดคลาด ด้วยความพ่ายแพ้ถึง 0-5 และนี้คือความแตกต่างของเรา กับทีมที่อยู่ในระดับแถวหน้าของโลก
ก่อนอื่นก็ต้องขอสวัสดีปี 2024 อย่างเป็นทางการ กับฟุตบอลไทย ในช่วงนี้ก็มีเกมให้แฟนบอลได้รับชมกันตั้งแต่วันแรกของปี กับรายการอุ่นเครื่องในชื่อว่า ‘โตโย ไทร์ส คัพ 2024’ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ปะมือกับยอดทีมอย่างญี่ปุ่น แม้หลายๆ คนจะเดาผลลัพธ์เอาไว้ว่า ‘ช้างศึก’ จะพบกับความพ่ายแพ้แบบ 100% หากไม่มีอุบัติเหตุทางฟุตบอลเกิดขึ้น
ความยอดเยี่ยมของ ‘ทัพซามูไรบลู’ ที่เหนือกว่าเรา ไล่ตั้งแต่อันดับโลก ห่างกัน 96 อันดับ พวกเขาเก็บชัยชนะติดต่อกันมาแล้ว 8 นัด ความสุดยอดคือเป็นการเอาชนะ เยอรมัน, เปรู และตุรกี ส่วนในรายการสำคัญล่าสุดอย่าง ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกโซนเอเชีย ญี่ปุ่น ถล่มคู่แข่งด้วยสกอร์ 5-0 ทั้งสองนัด และหากรวมประตูที่พวกเขายิงได้ใน 8 เกมนี้มีรวมกันมากถึง 34 ประตู เฉลี่ยนัดละ 4 ประตูนิดๆ
สำหรับทีมชาติไทย นัดนี้คือนัดประเดิมสนามของ มาซาทาดะ อิชิ เฮดโค้ชชาวญี่ปุ่น ที่แฟนบอลชาวไทยหลายคนตั้งหน้าตั้งแต่รอดูผลงาน แต่หลายๆ ปัจจัยทำให้เกมประเดิมสนามของเขา ไม่ได้พร้อมมากนัก ทั้งมีเวลาเตรียมทีมค่อนข้างน้อย นักเตะตัวหลักอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับธีรศิลป์ แดงดา ที่มีอาการบาดเจ็บ ส่วนศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ที่ขอถอนตัวออกไป ทำให้ อิชิอิ เลือกตัวที่คุ้นเคยกับทีมชาติ และคนที่เขาเคยร่วมงานด้วย จากสโมสรอย่างสมุทรปราการ ซิตี้ และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
สิ่งที่แรกที่เฮดโค้ชรายนี้ทำคือการประกาศรายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงแบบไม่มีใครเดาถูก อิชิอิ เลือกผู้เล่นโดยเน้นจากสภาพร่างกายเป็นหลัก ในบทความที่แล้วผมเดาไปก็ผิดเกือบทุกตำแหน่ง ในเกมนี้ผู้เล่นที่ได้โอกาสไล่มาตั้งแต่ผู้รักษาประตูเขาใช้ ปฏิวัติ คำไหม ที่ฟอร์มแจ่มกับสโมสร และเป็นคนคุ้นเคย กองหลังเลือก เอเลียส ดอเลาะ, กฤษดา กาแมน, ศุภนันท์ บุรีรัตน์ และโยก นิโคลัส มิคเกลสัน มายืนฝั่งซ้าย
กองกลางเลือกใช้ วีระเทพ ป้อมพันธุ์, บดินทร์, เจริญศักดิ์, พิชา อุทรา และปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ และส่งเด็กที่แทบจะไม่ค่อยได้โอกาสลงสนามกับการท่าเรือ อย่างธีรศักดิ์ เผยพิมาย มาเป็นกองหน้าตัวเป้า ไม่เลือก ธีราทร, สารัช และสองผู้เล่นจากญี่ปุ่น สุภโชค กับเอกนิษฐ์ จึงทำได้เพียงแค่นั่งเป็นตัวสำรองอยู่ข้างสนาม
แต่ฮาจิเมะ โมริยาสุ กุนซือใหญ่ญี่ปุ่น ไม่ได้เรียกผู้เล่นตัวหลักหลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ส่วนมากจะเป็นผู้เล่นในเจลีก และเยอรมัน ที่ได้พักเบรกก่อนใครเพื่อน ดังนั้นเราจึงไม่ได้ฟอร์มของ มิโตมะ หรือเอ็นโด กับเกมนี้
ช่วงครึ่งเวลาแรกเรียกได้ว่าการเล่นของ ‘ช้างศึก’ ในชุดที่อิชิอิ เน้นไปที่ความสด และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมกว่าที่คิด โดยเฉพาะในแนวรับที่ขยันวิ่ง การขยับเข้าบีบในจังหวะเกมรับ และดักจังหวะการเล่นของคู่แข่งได้อย่างยอดเยี่ยม มีจังหวะครองเกม ขึ้นเกมสวยๆ ในเห็นบ้าง ละจบลงด้วยการรักษาสกอร์ 0-0 แบบที่แฟนบอลชาวไทยไม่อยากเชื่อสายตา
ส่วนหนึ่งนอกจากเหล่านักเตะไทย เล่นได้ดีกว่าที่คิดแล้ว ในหลายๆ จังหวะ ญี่ปุ่นกลับเล่นมากจังหวะ และมีความไม่เฉียบคมในจังหวะสุดท้าย จนพลาดโอากสยิงประตูไปแบบหน้าเสียดาย หากพูดกันแบบไม่อวย แม้ว่าเราจะรักษาคลีนชีตเอาไว้ได้ แต่รูปเกมเรียกได้ว่าโดนญี่ปุ่นกดยับ หรือให้พูดง่ายๆ คือฟุตบอลของเราช้ากว่าเขาจังหวะหนึ่ง
และความยอดเยี่ยมของ ‘คิงส์ ออฟ เอเชีย’ ก็ออกมาปรากฎให้เห็นในช่วงครึ่งหลัง ประตูแรกเกิดขึ้นในช่วงนาทีที่ 50 และมาเสียอีกหนึ่งประตูจากลูกเตะมุมในนาทีที่ 72 หลังจากนั้นเหมือนใจ และแรงของนักเตะแดนสยามหมด โดยรัวอีก 3 ประตูในช่วงราวๆ 20 นาทีที่เหลือ
จุดที่น่าคิด ในช่วงครึ่งเวลาหลัง อิชิอิ เลือกผู้เล่นคุ้นหน้าตัวหลักทั้ง ธีราทร และสารัช ลงสนาม แต่ดูเหมือนว่าพลังในแดนกลาง และจังหวะการเล่นเกมรับ การยืนตำแหน่งโดยรวมของทีมดูแย่ลง โอเคหนึ่งอย่างที่ต้องชมคือความยอดเยี่ยมของเกมรุกคู่แข่ง แต่มีหลายๆ จังหวะที่เกิดจากความผิดพลาด การที่ไม่สื่อสารกันของนักเตะไทย
การได้ดวลกับทีมที่ตอนนี้เรียกได้ว่ายืนอยู่ในแถวหน้าของโลก อย่างญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นฟุตบอลไทย ตอนนี้ได้หลายอย่าง สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือความเข้าใจในการเล่นฟุตบอลที่ไม่ได้มีมากพอ สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคือ หรือเกิดจากการเปลี่ยนเฮดโค้ช แต่มันคือการปลูกฝังมากันตั้งแต่ในระดับเยาวชน ให้เหล่านักฟุตบอลตัวน้อยเรียนรู้ที่จะเล่นฟุตบอลเป็น มากกว่าการเล่นที่จะเก่งคนเดียว หรือเล่นเพื่อเอาชัยชนะ
ญี่ปุ่น ชุดนี้ หรือชุดเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ที่เราได้ดวลกันครั้งสุด พวกเขามีผู้เล่นระดับท็อปที่เล่นอยู่ในยุโรปมากมายแทบทั้งทีมไม่แตกต่างกัน แต่ในชุดนี้เราได้ความเข้าใจในรูปแบบการเล่นเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด นักเตะแต่ละคนรู้ว่าต้องทำอะไรตอนไหน ต้องวิ่งไปตรงไหน ตรงส่งบอลให้ใคร รู้ก่อนที่ลูกฟุตบอลจะกลิ้งมาที่ตัวเอง
ส่งผลให้พวกเขาเหนือกว่าเรา 1 จังหวะ ซึ่งมากพอที่จะเห็นถึงความแตกต่างระหว่างทีมชาติไทย กับระดับโลก อย่างชัดเจน
เขียนโดย The Lite Team.