ขอเริ่มต้นที่การย้ายทีมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ถึงแม้เจ้าตัวจะตอบตกลงย้ายไปร่วมทัพ อัล นาสเซอร์ ตั้งแต่ปลายปีก่อน แต่ผลบังคับใช้ตามสัญญาก็มาเริ่มเอาวันที่ 1 มกราคม หรือวันปีใหม่ตามกำหนดการของตลาดซื้อขายนักเตะอยู่ดี ซึ่งผลงานจนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ตะบันไปถึง 53 ประตู ในขวบวัย 38 กะรัต ไม่ทิ้งลายยอดนักเตะในตำนานจริง ๆ

จากนั้นก็เป็นเรื่องราวที่น่าตื่นตระหนก อกเกือบแตก สำหรับสาวกกูนเนอร์ส ที่พวกเขาขึ้นนำเป็นจ่าฝูงมานานถึง 31 นัด ก่อนมาตกต้นไม้ตายให้ลูกทีมของ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ปาดหน้าคว้าแชมป์ลีกไปครอง

ไอ้เรื่องนี้ทำเอาร้องระงมกันทั้งโซเชี่ยลเลยล่ะ ก็แหมพวกพรี่ ๆ เขาทีมนางเอกนี่…

การแข่งขันใน พรีเมียร์ลีก ยุคนี้ ต้องยอมรับว่ามันไม่มีคำว่า ‘บิ๊กโฟร์เคี้ยวหมู’ อีกต่อไปแล้ว เพราะอดีตสโมสรผู้เกรียงไกรในอดีตกาล ต่างเริ่มยืดเส้นยืดสายกลับขึ้นมาท้าชิงมงกุฎแห่งการเป็นจ้าวแห่งเกาะอังกฤษกันทั้งสิ้น จนความเข้มข้นในแต่ละนัดสามารถเปลี่ยนชะตาการลุ้นแชมป์ได้เลย

นิวคาสเซิ่ล ของ เอ็ดดี้ ฮาว เอย, แอสตัน วิลล่า ของ อูไน เอเมอรี่ เอย หรือกระทั่ง ไบรท์ตัน ของ โรแบร์โต เดร์ แซร์บี้ ก็ไม่ควรถูกมองข้าม

เห็นไหมครับว่า ในหนึ่งรอบปฏิทินมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง แม้กระทั่งตัวเราเอง ทั้งนิสัยใจคอ การวางแผนชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ จะมีก็มีอยู่อย่างเดียวที่มั่นคงประหนึ่งความรักนิรันดร์ของชายหญิงในนวนิยาย แยกจากกันไม่ขาด ขออยู่ตรงนี้ที่เดิมตลอดไป นั่นก็คือ สโมสรฟุตบอลเชลซี กับ ฟอร์มการเล่นขี้กลากขี้เกลือในผืนสนาม

เปลี่ยนจาก ‘โค้ชขนมเข่ง’ แกรมห์ พ็อตเตอร์ มาเป็น แฟรงค์ แลมพาร์ด ก็แล้ว ผลัดมือต่อเป็น เมาริซิโอ ปอเช็ตติโน่ ก็แล้ว ฟอร์มยังคงโดดเด่นเป็นสง่าเหมือนผลงานของ รัฐบาลในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างต่อเนื่อง

ทุกวันนี้ผมทำใจแล้วครับ มันคงไม่มีทางกลับมามีหวังจะเป็น ‘จ้าว’ อีกในเร็ววันนี้หรอก เอาแค่ให้มันชนะมากกว่าแพ้ยังเป็นไปไม่ได้เลยมั้ง!?.