เมื่อฉลามร่อแร่ ชลบุรี กลายเป็นเต็งตกชั้นไทยลีก
ถ้าย้อนกลับไปก่อนจะเปิดฤดูกาลไทยลีก แล้วให้ลองไล่เรียงกันว่าสโมสรจะอยู่ในกลุ่มสุ่มเสี่ยงที่จะตกชั้น ผมเชื่อเหลือเกิน ชลบุรี เอฟซี จะไม่มีใครจิ้มเลือกใส่อยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน แต่หลังจากผ่านไปจนเกือบจะจบเลกแรก ฉลามท่าจะจมน้ำไปเกินครึ่งตัวแล้ว
การแต่งตั้ง มาโกโตะ เทกุระโมริ เข้ามาดำรงตำแหน่งเฮดโค้ช ก็นับว่าเป็นการขยับที่น่าจับตามองต่อจากฤดูกาลที่ผ่านมา เพราะด้วยประสบการณ์การคุมทีมทั้งในระดับสโมสร และทีมชาติก็เต็มเปี่ยม เช่นการปลุกปั้น เวกัลตะ เซนได ตั้งแต่ทีมจาก เจ2 สู่การไปเล่น เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมไปถึงเคยรับหน้าที่คุมทีมชาติญี่ปุ่น เกือบทุกชุดในระดับเยาวชน ก่อนไปสร้างผลงานในชุดโอลิมปิก 2016 และเป็นผู้ช่วยในทีมชุดใหญ่
6 นัดแรก ชนะ 1 นัด แต่รูปแบบการเล่นเรียกได้ว่าน่าสนใจ จนมาออกดอกเห็นชัดในเกมที่บุกไปเสมอ บุรีรัมย์ 2-2 ซึ่งผมเคยเขียนอวยไว้ว่า “แม้ว่าผลงานของทีมจะย่ำแย่เพียงใด อันดับจะร่วงลงไปอยู่ท้ายตาราง แต่อดีตเฮดโค้ชบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ยังคงยึดวิธีการเล่นแบบเดิมๆ ที่เขาเชื่อมั่น ที่เขาต้องการให้ เหล่าฉลามเล่นให้ได้ จนมันมาออกดอกออกผล เริ่มผลิบานในเกมที่เจอกับคู่ต่อสู้ที่แกร่งที่สุดอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แถมยังเป็นการออกไปเล่นเป็นทีมเยือน”
ถ้าในย้อนกลับไปก็อาจจะต้องคิดอีกครั้ง แน่นอนเกมในวันนั้นชลบุรี เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม แต่อีหหนึ่งปัจจัยคือบุรีรัมย์ก็เล่นได้ย้ำแย่เช่นกัน แย่ขนาดที่ว่าหลังจากเกมวันนั้นจนถึงวันนี้รวมระยะเวลา 7 นัดในลีก พวกเขาชนะเกมเดียวเท่านั้น
แต่เรามาพูดถึง ‘ฉลามชล’ หาใช่ ‘ปราสาทสายฟ้า’
นับตั้งแต่ที่เสมอแชมป์ไทยลีก ก็เหมือนว่าฟอร์มของฉลามกระเตื้องขึ้นมาจนไม่แพ้ใคร 3 เกม แต่หลังจากนั้นร่วงยาว พวกเขาแพ้มา 4 เกมติดต่อกันแล้ว จนสุดท้าย โค้ชเทกุ ต้องประกาศแสดงความรับผิดเซ่นฟอร์มห่วยด้วยการขอลาออกจากทีม
นัดล่าสุดพวกเขาต้องออกไปเยือน พีที ประจวบ เอฟซี อันดับสุดท้ายของตาราง ซึ่งเป็นเกมสำคัญอย่างยิ่งเพราะพวกเขาอยู่อันดับรองสุดท้าย ผลแพ้ชนะกับทีมที่อยู่ในโซนสีแดงถือว่าเป็นการตัดแต้มกันเองไปในตัว อีกทั้งประจวบ ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน ทั้งฟอร์มการเล่น และการลาออกของเฮดโค้ช
แต่เกมดังกล่าวกลายเป็นเกมที่ ‘บางแสนบอย’ เล่นได้แบบไม่น่าประทับใจ พวกเขาโดนนำตั้งแต่นาทีที่ 6 ก่อนจะโดนประตูที่สองในนาทีที่ 35 แม้ว่าเจ้าบ้านจะมาเหลือ 10 คน และมายิงประตูตีไข่แตกได้จบจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 1-2 แต่ในครึ่งหลัง ชลบุรี ไม่อาจรักษาความได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่นได้ เพราะภานุพงศ์ พลซา มาโดนเหลืองที่สองไล่ออกจากสนามตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง
สรุปพวกเขาพ่ายให้กับ บ๊วยของลีก ที่ไม่ชนะใครมา 11 นัดติด 1-3 ทำให้ ชลบุรี เอฟซี กลายมาเป็นเต็งตกชั้นอย่างเต็มตัวๆ เผลอเป็นเต็งหนึ่งด้วยซ้ำ
ปัญหาที่ต้องแก้ถ้าไล่เรียงกันจริงๆ ก็เกือบทุกจุด อันดับแรก เฮดโค้ชคนใหม่ ตอนนี้พวกเขาใช้ ‘โค้ชแบงค์’ ณัฐวุฒิ วิจิตรเวชการ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนคุมชั่วคราว หากมองแนวโน้มที่จะเป็นไปได้เหล่าผู้บริหารคงไม่ได้มองให้ใครไกล อาจจะเป็นอดีตกุนซือที่มีความคุ้นเคยกับทีมเพื่อที่จะได้ปรับ และแก้ไขให้เร็วที่สุด หวยอาจจะมาออกที่ ‘โค้ชเตี้ย’ สะสม พบประเสริฐ ที่คุมทีมในฤดูกาลที่แล้ว แถมยังว่างงานอยู่ในเวลานี้อีกด้วย
ปัญหาถัดมาคือนักเตะในโควต้าต่างชาติ ยานนิค เอ็มโบเน่, มูริลโล่ เฟรตาส แทบจะไม่แตกต่างจากนักเตะไทย รวมไปถึง วิลเลียน ลิร่า ที่ฟอร์มแจ่มในช่วงแรก หลังซัด 4 ประตูใน 3 นัดแรก แต่ตอนนี้เขาไม่ยิงมา 5 นัดติดต่อกันแล้ว ทำให้มีแววว่า ชลบุรี อาจจะต้องโล๊ะต่างชาติยกแผง เพื่อหาคนที่แบกทีมเข้ามาเสริมทัพ
อีกหนึ่งปัญหาคือนักเตะไทย พวกเขามีดาวรุ่งที่น่าจับตามองหลายคน และก็มีก้าวขึ้นไปติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่มาแล้ว ทั้ง กฤษดา กาแมน หรือชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว แต่ก็ต้องบอกว่า ทีมยังขาดนักเตะที่มีความเป็นผู้นำ และประสบการณ์สูง เพื่อที่จะมากระตุ้นน้องๆ ในยามที่สถานการณ์ไม่เป็นใจ
คนที่อายุเยอะที่สุดอย่าง เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ก็แทบจะไม่มีบทบาทในสนามแล้ว หลังลงไปเพียง 23 นาทีจากโอกาส 4 นัดในทุกรายการ ดังนั้นพวกเขาจะต้องเร่งนักเตะที่เก๋าพอแบบ เฉลิมพล เกิดแก้ว ในฤดูกาลที่ผ่านมา
ชลบุรี เอฟซี ยังมีอีกครึ่งทางให้พวกเขาได้สู้ต่อ แต่ปัญหาก็มีมากถ้าเทียบกับเวลาอันเล็กน้อย ฉลามตัวนี้จะเอาตัวรอดบนลีกสูงสุดได้อีกฤดูกาลหรือไม่ มาเอาใจช่วยกัน
เขียนโดย The Lite Team.