"ผมกับ ชาบี อลอนโซ่ เราทั้งสองคนพยายามจะไปให้ไกลที่สุดในอาชีพนักฟุตบอล"

อาร์เตต้า ในวัยเด็กหยอดเป้าหมายของตัวเขากับเพื่อนซี้อย่าง อลอนโซ่ เอาไว้เมื่อครั้งเล่นฟุตบอลริมทะเลด้วยกัน

ทั้งคู่ต่างแยกย้ายเดินทางตามความฝันของตัวเองไปคนละทิศคนละทาง ฝั่ง ชาบี นั้นดูเหมือนจะเริ่มต้นได้ไม่ดีนักเมื่อเขาได้เข้าร่วมชุดแข้งเยาวชนของ เรอัล โซเซียดาด ซึ่งถือว่าเป็นทีมขนาดเล็กในช่วงเวลานั้น ขณะที่ อาร์เตต้า เริ่มนับหนึ่งกับความสำเร็จขั้นแรกด้วยการได้เป็นแข้งเยาวชนของทีมอย่าง บาร์เซโลน่า แต่ทุกอย่างที่เหมือนจะดีก็กลับไม่เป็นอย่างที่คิดฝันเอาไว้

ชาบี เติบโตกับทีมเล็กๆก็จริง แต่ทุกวันของเขานั้นเต็มไปด้วยการย่างก้าวที่มั่นคง ก่อนจะต่อยอดไปไกลจนถึงการย้ายมาอยู่ที่ ลิเวอร์พูล, เรอัล มาดริด และจบที่ บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงปลาย ส่วนทางด้าน อาร์เตต้า ต้องระหกระเหินถูกปล่อยยืมตัวไปยัง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อน ’เจ้าบุญทุ่ม’ จะเลือกขายเขาให้กับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในเวลาต่อมา แต่สุดท้ายแล้วโชคชะตามักจะเล่นตลกอยู่เสมอ เขาถูกดึงตัวกลับไปยังประเทศสเปนอีกครั้งโดยคราวนี้เป็นคิวของ เรอัล โซเซียดาด เมื่อปี 2004 ก่อนที่จะเป็นกุนซืออย่าง เดวิด มอยส์ ซึ่งในขณะนั้นกุมบังเหียนทัพ ‘ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน’ ได้มองเห็นศักยภาพในตัวของ ‘มิดฟิลด์เลือดกระทิงดุ’ และแจ้งไปยังสโมสรเพื่อดึงตัวเขาเข้ามารับใช้ยังถิ่น กูดิสัน พาร์ค

ข้ามมาในปี 2011 จุดเริ่มต้นของ อาร์เตต้า กับ อาร์เซนอล ได้ถูกจุติขึ้น ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นพรหมลิขิตที่ถูกขีดเขียนไว้ซะอย่างไงก็อย่างงั้น เมื่อมหาบรมกุนซือแห่งยุคอย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ ทำเรื่องขอเบิกงบจากคลังของสโมสรเพื่อคว้าตัวเขาเข้ามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ลอนดอนเหนือนั้นเจ้าของเสื้อหมายเลข 8 มีส่วนร่วมกับทีม 150 เกม, 16 ประตู กับ 11 แอสซิสต์ ก่อนที่จะเลือกแขวนสตั๊ดในปี 2016

เรื่องราวข้างต้นเป็นเพียงประวัติชีวิตโดยย่อกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพสำหรับ มิเกล อาร์เตต้า ต่อจากนี้เส้นทางแห่งการเข้าสู่โลกของผู้จัดการทีม กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ติดตามต่อได้ใน EP.2

เขียนโดย The Lite Team.