แบ็คซ้าย ‘พลังม้า’ รายนี้ย้ายมาแบบไร้ความกดดันจาก ฮัลล์ ซิตี้ เมื่อซัมเมอร์ 2017 และต้องทนเป็นตัวสำรองของ อัลแบร์โต้ โมเรโน่ อยู่กว่าครึ่งฤดูกาล ก่อนที่จะขึ้นมาเป็นตัวจริง และได้ใจ ‘เดอะ ค็อป’ ไปเต็มๆตั้งแต่วิ่งเพรสซิ่งครึ่งสนามใส่ผู้เล่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ตอนนั้นยังไม่แพ้ใคร และเป็น ‘หงส์แดง’ ที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับ ‘เรือใบสีฟ้า’ ได้สำเร็จเป็นทีมแรกในซีซั่นนั้น

ความสำเร็จในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีแข้งรายนี้เป็นตัวหลัก จนก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในชุดปัจจุบัน และยามที่ไม่มี เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อยู่ในสนาม เขาก็กลายเป็นผู้สวมปลอกแขนทันที

สิ่งที่บัดซบที่สุดคือ ลิเวอร์พูล ต้องเสียนักเตะรายนี้ไปเนื่องจากโปรแกรมทีมชาติ เพราะอย่างนี้ไง บางสโมสรในประเทศแถวตะวันออกเฉียงใต้ ถึงไม่อยากปล่อยนักเตะไปเล่นในโปรแกรม ฟีฟ่า เดย์ อะหยอกๆๆๆ กลับไปคุยเรื่องที่ แอนฟิลด์ กันเถอะ

เมื่อขาด โรเบิร์ตสัน แน่นอนว่าผู้ที่ต้องขึ้นมาเล่นทดแทนคือ คอสตาส ชิมิกาส ซึ่งถ้าว่าตามตรง แข้งรายนี้ตั้งแต่ย้ายมาในปี 2020 ไม่เคยได้เป็นตัวจริงต่อเนื่องเลย สถานะของเขาคือผู้ยอมเป็นตัวสำรอง คอยหมุนเวียนให้ในยามที่ กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ จำเป็นต้องพักเท่านั้น แต่สถานการณ์ในปัจจุบันคือต้องประจำการต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะเป็นเวลานานกว่า 4 เดือน

และเพียงแค่เกมแรกที่ ‘กรีก สเกาเซอร์’ ลงประจำการ ก็เห็นได้ชัดว่า เขายังไม่ดีพอสำหรับจะยืนตัวจริงในระยะยาว เพราะขนาดว่าเจอกับคู่แข่งที่ระดับเฉียดลีก แชมเปี้ยนชิพ อย่าง เอฟเวอร์ตัน ก็ยังไม่ดีพอที่จะสร้างสรรเกมรุกเจาะเข้าไปได้ นี่ยังไม่รวมถึงหากต้องเจอกับบรรดาปีกขวาตัวจี๊ด ที่คงพร้อมเผาแบ็คซ้ายรายนี้ตลอดทั้งเกม

ในฐานะสาวก ‘เร้ด แมชชีน’ ก็คงได้แต่หวังว่า คอสตาส ชิมิกาส จะยกระดับการเล่นขึ้นมา เพื่อทดแทนการขาดหายไปของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ได้อย่างไร้กังวล ไม่อย่างนั้นแล้วเราอาจจะได้เห็น เจอร์เก้น คล็อปป์ ดัดแปลง โจ โกเมซ หรือ วาตารุ เอ็นโด ให้กลายเป็น เจมส์ มิลเนอร์ เวอร์ชั่น 2.0 เป็นแน่แท้

เขียนโดย The Lite Team.