“สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ความสำคัญมากๆ คือ ฤดูกาลนี้เรามีโควต้าผู้เล่นต่างชาติเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น แต่นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ผมจะผลักดันตรงนี้ให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีผู้เล่นต่างชาติเยอะเท่าทีมอื่น แต่ผมจะทำให้พวกเขาชนะในทุกเกม และคว้าถ้วยรางวัลมาให้ได้” นี้คือความหวังที่ มาริโอ แบกรับ และให้สัมภาษณ์ในงานเปิดตัวทีมก่อนจะฟาดแข้งใน ไทยลีก ฤดูกาลนี้

แม้ว่ารูปแบบการทำทีมของ เมืองทอง ยูไนเต็ด จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา และสภาพเศรษฐกิจ พวกเขาไม่ใช่ทีมยักษ์ใหญ่ที่ทุ่มเงินดึงนักเตะต่างชาติคุณภาพ (และชื่อเสียง) สูงเหมือนเฉกเช่นที่เคยเอาทั้ง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ หรือเจย์ โบธรอยด์ มาใช้งาน

และตอนนี้ก็ไม่ใช่ทีมที่จะใช้เงินดึง นักเตะไทยคุณภาพระดับท็อปอย่างที่เคยมีแต่เหล่าทีมชาติอยู่ในทีม แต่ ณ เวลานี้ พวกเขากลายเป็นทีมจอมปั้ม ที่เน้นการทำทีมเยาวชน และพร้อมขาย เมื่อได้ราคา รวมถึงพร้อมส่งออกไปลีกต่างแดนเช่นกัน 

แน่นอนว่าด้วยตัวผู้เล่นที่มี และยิ่งเมื่อนำไปเทียบกับทีมอย่าง บุรีรัมย์ หรือ บีจี ปทุม แฟนบอลก็อาจจะไม่ได้หวังถึงการกลับไปทวงแชมป์ให้ได้ แต่ก็ขอเพื่อให้สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี และเหลือคราบ ‘กิเลน’ ผู้เคยเป็นใหญ่ในวงการฟุตบอลไทยอยู่บ้าง 

แต่การเข้ามาทำทีมของอดีตนักเตะชาวมาซิโดเนียเหนือ ก็ดูจะตอบโจทย์ในหลายๆ ด้าน ทั้งความดุดัน เอ็นเตอร์เทน และสู้ได้กับทุกทีม และที่สำคัญเขาพร้อมที่จะดันดาวรุ่ง และคุมทีมภายใต้งบประมาณที่จำกัด ทำให้ มาริโอ กลายเป็นที่รักของแฟนบอล และสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงด้วยการจบอันดับ 4 ในฤดูกาลที่แล้ว และเกือบได้ไปเล่น เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 

“ผมขอเรียกว่าการเต้นรำครั้งสุดท้าย บางคนอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องเศร้า แต่สำหรับตัวผมมันเป็นสิ่งที่น่ายินดี ผมอยากให้แฟนคลับเข้ามาชมมาเชียร์ ผมอยากให้มันจบต่อหน้าแฟนบอลกับสนามที่ผมคุ้นเคย” อีกหนึ่งบทสัมภาณษ์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ของเฮดโค้ชรายนี้ ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 2022 ในช่วงที่เขาพาทีม ไม่ชนะใคร 5 นัดติดต่อกัน และเก็บ 3 แต้มได้เพียงนัดเดียวจาก 9 นัดในไทยลีก 22/23 

มันคือการประกาศครั้งสำคัญก่อนเกมที่จะเจอกับ พีที ประจวบ ยูไนเต็ด คำประกาศที่มาริโอ เดิมพันอาชีพ เดิมพันตำแหน่งเฮดโค้ชของเมืองทอง ยูไนเต็ด เอาไว้ และการทุบหม้อข้าวหม้อน้ำครั้งนั้นก็เป็นผลสำเร็จ ‘ซูเปอร์มาริโอ’ พา เมืองทองโชว์ฟอร์มระดับท็อปคลาส ไล่อัด ‘ต่อพิฆาต’ แบบไปไม่เป็น 5-0 ในเกมวันนั้น เมืองทอง มีโอกาสยิงมากถึง 15 ครั้ง เข้ากรอบ 8 ครั้ง 

ก่อนที่จะต่อยอดความเยี่ยมในเกมถัดมากับ ลําพูน วอริเออร์ ที่ฟากเกมรุกยังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมยิงไปอีก 5 ประตู ทำให้ 2 นัด ของ “กิเลนผยอง” ยิงรวมกันไป 10 ประตู มากกว่า 9 นัดที่ผ่านมาที่ยิงไปเพียง 8 ประตูเท่านั้น ส่วนฟากเกมรับก็รักษาคลีนชีตได้เป็นนัดที่สองติดต่อกัน และจบด้วยอันดับ 4 ในท้ายฤดูกาลนี้ 

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ในด้านตัวผู้เล่น อาจจะเรียกได้ว่า ‘กิเลนผยอง’ เสริมทัพ และมีขุมกำลังที่แย่กว่าฤดูกาลที่ผ่าน การใช้โควต้าต่างชาติเพียง 3 คน ไม่มีโควต้าเอเชีย แม้ว่า มาริโอ จะปรุงรูปแบบการเล่นในหลายเกมของฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม และมีรูปเกมจะดีกว่า เช่นในนัดแรกกับ ลีโอ เชียงราย พวกเขามีโอกาสยิงประตูถึง 14 ครั้ง แต่โดน เชียงราย ที่มีโอกาสยิงประตูเพียงครั้งเดียวในเกม เอาชนะไป 1-0 

แต่ในเมื่อโลกของวงการฟุตบอลไม่ได้วัดกันที่ความสวยงามของรูปแบบการเล่น แต่วัดกันที่จำนวนประตู 1 คะแนนของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ไม่พอที่จะต่อชีวิตของกุนซือหนุ่มรายนี้ ประกอบการที่บุกไปโดน บีจี ปทุม ยำ และโดนยิงถึง 5 ประตู ก็ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเขากับ ‘กิเลนผยอง’ ขาดลง 

งานนี้ มาริโอ ยูรอฟสกี้ ไม่มีโอกาสที่จะได้เต้นรำครั้งสุดท้ายเหมือนเคย เขาเลือกที่จะรับผิดชอบผลงานด้วยการลาออก ปิดฉากการคุมทีม 99 นัดใ กับเมืองทอง ยูไนเต็ด ปิดฉาก 1,064 วัน ด้วยผลงานพาทีมชนะ 46 นัด เสมอ 23 นัด แพ้ 30 นัด ยิงไป 182 ประตู เสีย 128 ลูก

แต่เชื่อเถอะว่าในอนาคต กุนซือผู้ที่ชอบสร้างสีสันให้กับ ไทยลีก คนนี้ จะได้หวนกลับมาคุมสโมสรในประเทศไทย อีกอย่างแน่นอน 

เขียนโดย The Lite Team.