หนึ่งในตัวเต็งครั้งนี้คือ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ที่มีสถิติในการยิงประตูแบบถล่มทลายและมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ทีมได้แชมป์มากมายในฤดูกาลที่ผ่านมา แต่สื่อหลายสำนักก็ยังให้เจ้าตัวเป็นรอง ลิโอเนล เมสซี่ ที่พาทีมอาร์เจนติน่าได้แชมป์โลกในปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีดีการคว้าแชมป์โลกถึงทำให้ทุกถ้วยรางวัลดูไม่มีความหมาย ทั้งๆที่นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาก็เท่ากับ 3 สมัยไม่มีผู้เล่นที่ได้แชมป์โลกคว้า บัลลงดอร์ ได้สักคน

ไม่ว่าจะเป็น สเปน ที่คว้าแชมป์ในปี 2010 แต่คนที่ได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมกลับเป็น เมสซี่ ไปอย่างค้านสายตาคนทั้งโลก เพราะตัวเต็งในปีนั้นคือ เวสลีย์ สไนเดอร์ ที่พาทีมอินเตอร์มิลาน คว้าทริปเปิ้ลแชมป์พร้อมกับรองแชมป์ฟุตบอลโลกในปีนั้น ต่อมาปี 2014 ที่ เยอรมัน คว้าถ้วยรางวัลทองคำใบนี้ไป แต่คนที่ได้ บัลลงดอร์ กลับเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ของ โปรตุเกส และในปี 2018 ที่มี คีเลียน เอ็มปัปเป้ ซึ่งเจ้าตัวก็เป็นผู้เล่นคนสำคัญในการพาทีมคว้ารางวัลที่ 1 ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น แต่ ลูก้า โมดริก กลับได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมในปีนั้นไปแทน

ก็เอาเป็นว่าอย่างน้อย แมนฯซิตี้ ก็มีนักเตะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้ถึง 7 คน บวกกับ เอแดซอน ในรางวัลสำหรับผู้รักษาประตูอีก 1 คน ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจแล้ว แต่จะดีกว่านี้ถ้าอันดับ 2 และ 3 ของรางวัลบัลลงดอร์ จะเป็นผู้เล่นอย่าง ฮาลันด์, เควิน เดอ บรอยน์ หรือ โรดรี้ ก็ตามเพราะนี่คือประวัติศาสตร์สำคัญให้กับทีมของเรา และทั้ง 3 คนก็คือตัวแบกของฤดูกาลที่ยาวนานอย่างแท้จริง ส่วนอีก 4 คนที่เหลืออย่าง ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ, แบร์นาโด้ ซิลวา, รูเบน ดิอาส และ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ก็ถือว่ายอดเยี่ยมเช่นกันและสุดท้ายคนที่ไม่อยู่อย่าง กัปตันกุนโดกัน ก็คือผู้ปิดทองหลังพระในการคว้าทุกแชมป์ ก็ต้องขอขอบคุณช่วงเวลาดีดีที่มีให้กัน

ในฐานะแฟนบอล แมนฯซิตี้ ต้องบอกว่าอยากให้ เควิน เดอ บรอยน์ ได้สักครั้งแต่ก็รู้ว่ามันยากมากๆสำหรับเขาในยุคที่มีทั้ง เมสซี่ และ โรนัลโด้ แต่อย่างน้อยถ้าได้ติดท็อป 3 อีกสักครั้ง เราก็สามารถพูดได้ว่า เขาคืออันดับหนึ่งกองกลางของพรีเมียร์ลีกอย่างไม่ต้องสงสัย…

เขียนโดย The Lite Team.