ดราม่าลิขสิทธิ์บอลไทย ก็แค่ละครบทนึง
ปล่อยให้ดราม่ากันมาร่วมเดือน กับการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดของฟุตบอลไทยลีก หลังในตอนแรกมีการเปิดเผยจากไทยลีก และสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยว่า มีคนที่สนใจมายื่นประมูลด้วยเม็ดเงินเพียง 50 ล้าน จากที่เคยได้ในฤดูกาลก่อนๆ หลักหลายร้อยล้าน หรือพันล้านบาท
หลังจากการประชุมกับเหล่าทีมในไทยลีก ทั้ง 16 สโมสร จำนวน 2 ครั้งที่ผ่านมา ก็ออกมาเป็นบทสรุปที่ว่าทาง ไทยลีก จะเป็นฝ่ายจัดการถ่ายทอดสดให้ และเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมด เช่น กล้อง ทีมงาน รถถ่ายทอดสด รวมถึงระบบ VAR แล้วทางสโมสรต่างๆ จะเป็นผู้รับสัญญาไปจัดการต่อเอง อาจจะไปถ่ายลงช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง หรือไปจับมือกับแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นช่องทางในการถ่ายทอดสด เพื่อแลกกับเงินค่าลิขสิทธิ์
หลังจากการประชุมเสร็จ เหล่าประธานสโมสรก็ออกมาให้สัมภาษณ์ โดยคนที่น่าสนใจคือ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ระบุว่าสโมสรในไทยลีก ทั้ง 16 ทีม จะเดินจับมือไปพร้อมกัน นั้นหมายความว่า ทุกทีมจะรวมหัวกันเดินไปจัดการการถ่ายทอดสดภายใต้แพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อให้การต่อรองเงินกับเจ้าของแพลตฟอร์ม ให้ได้มากที่สุด
“เรื่องการถ่ายทอดสดก็ให้สิทธิ์สโมสรไปจัดหารายได้เอง แต่ไม่มีเงินอุดหนุน เท่านั้นเอง เอาสิทธิประโยชน์ของการถ่ายทอดสด หรือไฮไลท์รีรัน รายได้จากการถ่ายทอดมาเป็นรายได้ของสโมสรแทนรายได้การถ่ายทอดสดของสมาคม หมายความว่าเราเองก็สามารถไปหารายได้ด้วยตัวเองได้ แม้จะเกิดปัญหาสำหรับบางทีมที่อาจจะไม่มีความพร้อม และความเข้าใจในเรื่องที่ว่า เราจะมัดรวมกันหมดแล้วไปเจรจาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นฟรีทีวี หรือ แอพพลิเคชั่นไหนที่จะมีการถ่ายทอดเพื่อจะเอารายได้มารวมกันแล้วเฉลี่ยให้เท่ากันไม่ว่าจะเป็นทีมเล็กหรือทีมใหญ่”
แต่สุดท้ายจะมีการนัดประชุมเฉพาะ 16 ทีมในไทยลีก กันอีกทีหนึ่งว่าทีมใดจะเอาด้วยกับแนวคิดนี้ หรือมีทีมจะได้ปลีกตัวออกไปถ่ายทอดสด และหาเงินเอง แต่เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครกล้าแตกแถว เพราะได้ยินข่าวลือมาว่า บุรีรัมย์, บีจี ปทุม และการท่าเรือ จัดการดีลทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และมีโอกาสที่แต่ละทีมจะได้รับเงินกันร่วม 10-20 ล้านบาท หากร่วมด้วยกับแนวทางนี้
นอกจากนี้หลังจากการประชุมกันครั้งก่อน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก็ออกมาเปิดเผยว่า จริงๆ มีคนยื่นเข้ามาประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดของฟุตบอลไทยลีก มากกว่าฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ดีลกลับล่มลงก่อน โดยที่ "บิ๊กอ๊อด" ไม่สามารถเปิดเผยเหตุผลได้ คาดว่าดีลดังกล่าวจะมีมูลค่ามากกว่า 400 ล้านบาท
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหล่าสำนักข่าวกีฬาทั้งหลายก็กระจายข่าวลือกันออกมาอย่างหนาหูว่า ยักษ์ใหญ่ค่ายแดง เตรียมหวนคืนถ่ายทอดสดไทยลีก ด้วยดีลมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ซึ่งยักษ์ใหญ่ที่ว่าก็คือ ทรู และก็ตามด้วยข่าวที่ว่า AIS ก็พร้อมยื่นประมูลสู้ที่ 600 ล้านบาท
กลับกลายเป็นว่าจากที่อยู่ดีๆ มูลค่าลิขสิทธิ์ที่หายไปหลายร้อยล้านบาท ดีดกลับขึ้นมาอยู่ในมูลค่าที่มากกว่าเดิม เพียงแค่สโมสรในไทยลีก ประกาศแยกตัวออกมาบริหารจัดการเอาเอง รวมถึงการที่ นายกสมาคมออกมาเปิดเผยว่าดีลมูลค่ากว่า 500 ล้านบาทเกิดล่มไป ทำให้แฟนบอลอดคิดไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงละครฉากนึงของฟุตบอลไทย ที่มีคนจัดฉาก จัดตัวละคร และเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น โดยมีนัยยะบางเรื่องแอบแฝง
ถ้าให้ลองคาดเดา คงหนีไม่พ้นเรื่องการเมืองภายในสมาคมกีฬาฟุตบอล ที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ ฝั่งเนวิน หรือฝั่งชลบุรี พยายามเข้ามารวบอำนาจจาก "บิ๊กอ๊อด" เพื่อเตรียมคนใหม่ขึ้นไปรับตำแหน่ง เผลออาจจะไปแตะกับฝั่งการเมืองสนามใหญ่ของไทยอยู่ด้วยเช่นกัน
สิ่งที่น่าห่วงหากในย่อหน้าบนเป็นจริง ก็คงพูดกันได้เต็มปากว่า ฟุตบอลไทย ยังไม่สามารถแยกตัวออกจากการเมืองได้ ทั้งในระดับจังหวัด และระดับประเทศ ดังนั้นการที่เราจะได้เห็น ธุรกิจฟุตบอล หรือทีมฟุตบอลอยู่ได้ด้วยตัวเองก็คงไม่ง่ายนัก เพราะแค่เรื่องลิขสิทธิ์ยังเอามาต่อลองอำนาจกัน จนทีมเล็กๆ ไปจนถึงในลีกระดับรองระส่ำระสายกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เขียนโดย The Lite Team.