ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง โจเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันของ อาแอส โรม่า

‘จ่ามู’ จัดเป็นสีสัน ความบันเทิงของนักข่าวและสื่อทุกแขนง ด้วยบุคลิกภาพความกวนโอ๊ย คำพูดคารมคมคาย และจิตวิทยาที่สามารถปลุกปั่นความเดือดให้ดราม่า และกระตุ้นนักเตะตนเองได้ในเวลาเดียวกัน

ผมเคยมีโอกาสได้คุยกับพี่สาวคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องฟุตบอลมากนัก แต่กลับชื่นชอบในตัวของ โจเซ่ มูรินโญ่ มากเป็นพิเศษ เพราะเคยเห็นผ่านจอโปรเจ็คเตอร์ ตอนกระดกน้ำลำไย เวลาประมาณเที่ยงคืนที่ร้านอาหารว่า “โค้ชบ้าอะไรวะโดนใบแดง?” เป็นภาพติดตาและคำนิยามที่สมบูรณ์แบบของ มูรินโญ่ เสียจริงๆ

ในฐานะแฟนบอลเชลซี ผมได้แต่นั่งยิ้มมุมปาก พลางหัวเราะลั่นในใจ นี่มันโคตรจะ “Mourinho’s Thing” ที่ผมคุ้นเคย

ช่วงฤดูกาล 2004/05 อันเป็นปีแรกที่โค้ชชาวโปรตุกีสเข้ามากุมบังเหียนสโมสร เขาเปิดตัวด้วยการเรียกตัวเองว่า “The Special One” หลังพา เอฟซี ปอร์โต้ เถลิงบัลลังก์ทริปเปิ้ลแชมป์มาครอง แต่นี่คือ เวทีพรีเมียร์ลีก อันอุดมไปด้วยเหล่าสุดยอดกุนซือ อาทิ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, อาร์แซน เวนเกอร์ หรือแม้กระทั่ง ราฟาเอล เบนิเตซ ที่เพิ่งพา บาเลนเซีย ล้มสองจักรพรรดิกระทิงดุในซีซั่นก่อน

ต้องบ้าดีเดือด หรือมีความกล้าขนาดไหน จึงพูดประโยคนี้ออกมา…แต่สุดท้ายแกก็พาทีมคว้าแชมป์ EPL ได้แบบครบถ้วนหมดจดแหละนะ ก็เสียแค่ 15 ประตูตลอดซีซั่น เป็นสถิติความเหนียวแน่น เป็นสิงโตเคี้ยวยากเหมือนหมากฝรั่ง ยืนยงคงกระพันจวบจนวินาทีนี้

ทำให้แฟนบอล ‘สิงห์บลู’ ที่ยกรักแร้ ชูมือเชียร์มาตั้งแต่ยังเป็น ‘สิงห์บอลถ้วย’ ต่างรักและผูกพันกับนายฝีปากกล้าคนนี้มาตลอด

ก่อนที่จะระหกระเหิน หายไปเป็นหัวเรือใหญ่ให้กับ อินเตอร์ มิลาน และ เรอัล มาดริด (ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งกับทั้งสองสโมสร) เขากลับมาเตรียมทีมหนึ่งซีซั่น ก่อนพบจุดอ่อนที่ เชลซี ยังขาดในคุณสมบัติของการเป็น Champion เมื่อแก้ไขด้วยการนำเข้า เชสก์ ฟาเบรกาส และ ดิเอโก้ คอสต้า พวกเขาก็กลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งในรอบ 5 ปี

แม้ว่าเส้นทางจะถูกปิดกั้นลง เพราะคดีของคุณหมอ อีวา คาร์เนย์โร่ ที่เข้าใจผิดกันเพราะเรื่องแท็คติก จน ‘น้ามู’ แกสติแตกทำทีมดิ่งลงเหวไป แต่หัวใจที่มอบให้ต่อแฟนเชลซียังคงเหมือนเดิมมิเสื่อมคลาย คำหยอด คำหวาน ยังคงพรั่งพรูออกมาตลอด 8 ปีที่จากกัน

ทำให้ทุกๆครั้งที่ เชลซี จำต้องเปลี่ยน ผู้จัดการทีมชุดใหญ่ จะมีชื่อของ โจเซ่ มูรินโญ่ อยู่ในรายชื่อลิสต์อยู่เสมอ ตัวน้าแกเองก็ไม่เคยปฏิเสธเสียด้วยสิ มิหนำซ้ำ ยังเอ่ยว่า พร้อมกลับมาทุกครั้งไป

อันนี้ต้องขออนุญาตแสดงความเห็นของตัวกระผมเองในเรื่องนี้สักนิด ซึ่งท่านอาจมีความคิดที่แตกต่างออกไปก็ไม่เป็นไร ถ้าเราสังเกตวิถีของฟุตบอลสมัยใหม่ และการปรับโครงสร้างทีมชุดปัจจุบันที่บริหารโดย ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ แล้วนั้น พวกเราแทบจะตัดชื่อของ มูรินโญ่ ออกไปจากลิสต์ได้เลย

นอกจากสไตล์การเล่นที่ไม่ Entertain ผู้ชมมากเท่าแคนดิเดตอื่นๆ แกยังเป็นคนที่เน้นความสำเร็จเป็นที่ตั้ง ทำให้เขาจะไม่มีเวลาพัฒนาดาวรุ่งตัวกลั่นที่สโมสรตระเวณซื้อมาจากทั่วสารทิศ ทั้งยัง ‘เป็นความจำเจ’ ที่เราควร Move On มาเพื่อก้าวเข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัว

แต่ถึงกระนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะแยกออกจากกันอย่างไร้เยื่อใย เพราะถ้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีตำนานอย่าง เฟอร์กูสัน และ อาร์เซน่อล มี อาร์แซน เวนเกอร์ ผมคิดว่าของเราก็ต้องเป็น มูรินโญ่ นี่ล่ะ

ทำไมน่ะหรือ? นี่คือคำพูดที่ออกจากปากของ โจเซ่ มูรินโญ่ ตำนานกุนซือคนแรกที่พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และสามารถทำได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรที่ 3 ครั้ง

“ไม่มีนักวิจารณ์คนไหนใน TV ที่มาจาก เชลซี ทุกคนล้วนมาจาก ลิเวอร์พูล ไม่ก็ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอนผมรีไทร์ในฐานะผู้จัดการทีมตอนอายุ 75 ปี ผมจะเข้ามาเป็นนักวิจารณ์..."

“ถึงตอนนั้นผมจะปกป้องเชลซีเอง”.