The Blue House: รับขวัญ เมาริซิโอ้ ปอเช็ตติโน่
เมาริซิโอ ปอเช็ตติโน่ จัดเป็นหนึ่งในกุนซือระดับชั้นนำที่หลายคนจับตามอง ด้วยฝีไม้ลายมือที่พิสูจน์ตัวเองมาทีละเล็กละน้อย วันนี้เราจะมาดูกันว่า ทำไม ‘บิ๊กพอช’ อาจเป็นโค้ชที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ของ ‘เดอะ บลูส์’
ก่อนอื่นเลย ผมขอน้อมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ทีแรกไม่แฮปปี้ที่ได้ ปอเช็ตติโน่ มานั่งตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของสโมสรหรอก เนื่องจากเขาไม่เคยคว้าแชมป์ระดับ Major เลยสักสมัย หากไม่ได้คุม ปารีส แซงต์ เฌอแม็ง ที่เป็นมหาอำนาจในประเทศฝรั่งเศส
ด้วยความเข็ดหลาบจากผู้จัดการทีม 2 คนล่าสุด อย่าง แกรมห์ พ็อตเตอร์ ที่ย้ายมาจาก ไบร์ทตัน และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ตำนานผู้เข้ามากอบกู้ซากเรืออับปางก่อนจบซีซั่น ทั้งคู่ต่างไม่มีดีกรีความเป็น Champion ในฐานะผู้จัดการทีมชุดใหญ่
ท่ามกลางข่าวลือเชื่อมโยงกับ Candidate รายอื่นที่น่าสนใจกว่า เช่น จูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ โค้ชเมืองเบียร์ ที่มีความสามารถในการวางระบบที่หลากหลาย เค้นเอาประสิทธิภาพนักเตะได้อย่างเยี่ยมยอด และด้วยนิสัยพื้นเดิมของชาวเยอรมัน ผมคิดว่า นาเกลส์มันน์ จะมีความเฮี๊ยบและความหนักแน่นในการเริ่มวางโครงสร้างสโมสรใหม่ เพราะนักเตะเชลซีชุดปัจจุบัน เต็มไปด้วยเด็กหนุ่มจากนานาประเทศ เป็นตัวกลั่นที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ความเป็นระเบียบของ ‘อินทรีเหล็ก’ คงช่วยคัดสรรส่วนผสมหลากรสนี้ได้ดีระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ‘อินดี้’ หลุยส์ เอ็นริเก้ อดีตบอสใหญ่ของ บาร์เซโลน่า และ ทีมชาติสเปน ก็เป็นอีกความใกล้เคียงของวลี “HERE WE GO!” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หากเราพูดถึงนิสัยความดิบเถื่อน ความกล้าได้กล้าเสียของคนเมืองกระทิงดุแล้วล่ะก็ คำว่า “JUST EXECUTE IT” ก็เด้งขึ้นมาในหัวผมทันที เพราะบรรดาหนูน้อยเชลซี มั่นอกมั่นใจในตัวเองกันมาโดยตลอด คิดว่าตัวเองฝีเท้าฉกาจยิ่งกว่าใคร การได้เจอโค้ชที่ดุและพร้อมใส่เต็มเหนี่ยวเพื่อหน้าที่ของตน ก็คงเป็นอะไรที่ละสายตาไม่ได้
แต่…สุดท้ายหวยมาออกที่ ปอเช็ตติโน่ ที่วิ่งเข้าเส้นชัยในช่วงวินาทีแห่งการตัดสินใจ
เมื่อทราบดังนั้น จึงต้องลองศึกษาและวิเคราะห์บุคลิกภาพต่างๆของ ‘พอช’ ดูเสียหน่อยว่า จะพอมีหวังกับการกู้ชื่อสโมสรรักของผมหรือเปล่า?
สมัยเริ่มอาชีพค้าแข้ง ปอเช็ตติโน่ เป็นเด็กฝึกของ นิวส์ โอลด์ บอยส์ เคียงข้าง ‘เสือใต้’ ดิเอโก้ มาราโดน่า ก่อนย้ายไปเป็นตำนานที่ เอสปันญ่อล ตลอดระยะเวลา 1 ทศวรรษ เขาถูกมองในฐานะกองหลังที่ไม่มีความปราณี ดุดัน และหาญกล้า ซึ่งเข้ากับวิถีการเล่นฟุตบอลสเปนมากๆ จนถึงตรงนี้ หากคุณไม่ใช่แฟนบอล ลาลีก้า คงเถียงผมจนเอ็นเสียงแทบฉีก
“สเปน เนี่ยนะ มีความดุดัน?” ใช่ครับ…แม่งโคตรดุเลย!
ต้องอธิบายแบบนี้ ทีมชาติสเปนหรือสโมสรจากเมืองกระทิงดุ มีค่านิยมในการเรียนและสอนเบสิคพื้นฐานฟุตบอลให้กับเยาวชน กล่าวคือ หากคุณเติบโตในอคาเดมี่แถบนั้น คุณจำเป็นต้องเก่งในเรื่อง ‘ง่ายๆ’ ไม่ใช่เทคนิคแพรวพราวเหมือนประเทศบราซิล หรือเพิ่มความหนาให้มวลกล้ามเนื้อแบบประเทศอังกฤษ
แต่ที่ดุดันน่ะ คือ วัฒนธรรมของประเทศสเปน คนพื้นเมืองจะเป็นคนเกรี้ยวกราด มี Passion กับสิ่งตรงหน้าสูง จนถึงขั้นพร้อมเลือดตกยางออกกันไปข้างหนึ่ง หากเราสังเกตดีๆ กรรมการจาก ลาลีก้า จะเป่าฟาวล์ให้นี่ต้องเข้าบอลแบบถึงลูกถึงคนเลยล่ะ เพราะพวกเขาเคยชินกับการปะทะ และเข้าใจความรู้สึกของเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอารมณ์พุ่งพล่าน
ยกตัวอย่างเช่น เคสการสู้กันในสนามของ เซร์คิโอ รามอส กับ ดิเอโก้ คอสต้า หรือตอนที่ เซร์จิโอ บาเญสเตรอส ผลักใส่หน้า การ์เลส ปูโยล แต่พอจบเกมส์ก็เป็นเพื่อนฝูงกันหมด
ปอเช็ตติโน่ ที่อยู่ที่นั่นทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช ก่อนมาซึมซับความผู้ดีตีนแดงที่เกาะอังกฤษ ตามต่อด้วยไปเป็น ‘เหยื่ออารมณ์’ ให้กับเหล่านักเตะระดับ World Class กลุ่มคนที่เต็มไปด้วยอีโก้ ทั้ง ลีโอเนล เมสซี่, เนย์มาร์ หรือ คิลิย็อง เอ็มบาปเป้ ที่ PSG สถานที่ที่ซึ่งโค้ชสายบริหารอย่าง โธมัส ทูเคิ่ล ยังยอมยกธงขาวมาแล้ว
อืมมม์…ปอเช็ตติโน่ ที่มีความดุดันในตัวเองสูง แต่ปรับตัวให้นุ่มนวลที่ พรีเมียร์ลีก ได้ดี แถมการกลับมาครั้งนี้ ก็พกประสบการณ์ที่เคยเจอกับพวก ‘เด็กติดสปอยล์’ มาแล้วด้วย ดูเหมือนว่า นี่อาจเป็นเวลาที่ใช่ที่สุดของทั้ง เชลซี และโค้ชชาวอาร์เจนไตน์ ก็ได้นะ.
เขียนโดย What The Fluke
The Lite Team.