The Blue House: ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ กับข้อเปรียบเทียบที่เกิดขึ้นเพราะ ‘เสี่ยหมี’
“พวกเขาลงทุนในธุรกิจที่ตัวเองไม่ได้มีความรู้ xxx อะไรเลย!” แซม อัลลาร์ไดซ์ อดีตผู้จัดการทีมประสบการณ์ช่ำชอง กล่าวถึง ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ และทีมงานถอดสมองแห่งกรุงลอนดอน
ด้วยผลงานพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก เชลซี แปรเปลี่ยนสภาพเป็นทีมกลางตารางอย่างสมบูรณ์แบบ จนถึงตอนนี้ก็ไม่ชนะใครไปแล้วถึง 8 นัด เป็นความอัปยศอดสูที่ผมไม่กล้าเปิดตารางคะแนนดู
ในฐานะที่ ‘เสี่ยท็อดด์’ เทคโอเวอร์สโมสรต่อจากบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘The Best Sugar Daddy’ หรือ ‘สุดยอดเสี่ยเลี้ยงแห่งวงการฟุตบอล’ อย่าง โรมัน อับราโมวิช ที่ไม่ได้พกมาแค่บัตรเครดิต แต่ใช้การบริหารระดับพรีเมี่ยมแบบคนที่มีสติปัญญามายกระดับ ‘สิงห์บลู’ ให้กลายเป็นทีมที่ไม่มีใครอยากเจอ
แน่นอนครับ การเปรียบเทียบจึงเกิดขึ้น ผมจะอธิบายด้วยการระลึกในเซลล์สมองที่มากกว่านายกเล็กน้อยให้ฟัง
กาลครั้งหนึ่งนานแค่ไหนไม่ทราบแน่ชัด รัสเซีย ออกนโยบายใหม่สำหรับนักการเมืองในประเทศของตน พวกเขาจะไม่มีสิทธิ์ถือครองทรัพย์สินต่างประเทศใดๆ เนื่องจากเป็นการระมัดระวังภัยความมั่นคง รวมไปถึงลดประสิทธิภาพการฟอกเงินของเหล่าตัวกินไก่หัวใส ไม่ให้มีช่องทางทำมาหากินแบบทุจริต
เรื่องนี้ก็กระทบกับ ‘เสี่ยหมี’ เต็มประตู เพราะนอกจากจะเป็นเจ้าของธุรกิจบ่อน้ำมันแล้ว สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ แกเป็นผู้ว่าการรัฐชูค็อตก้า และมีความเกี่ยวโยงในฐานะคนสนิทของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานธิบดีจอมขึงขัง ท่ามกลางข่าวคึกโครมว่าเคยเกือบโดนเป่าหัวทิ้งมาแล้ว
อับราโมวิช สร้างถนนหนทางให้ประชาชนมากมาย ลงทุนเรื่องระบบสาธารณูปโภคและโรงพยาบาลให้คนยากไร้ นับตั้งแต่วันที่ประกาศบังคับใช้กฎหมาย เขาลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ ละทิ้งยศฐาบรรดาศักดิ์ต่างๆ ถอดหัวโขนเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบ และรักษาสมบัติชิ้นหนึ่งที่เขาหวงแหนมากที่สุด คุ้นๆกันไหมครับว่าสิ่งนั้นคืออะไร?
คำตอบคือ สโมสรฟุตบอลเชลซี นั่นเอง…
ที่ผ่านมา ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ เองก็ติดหนี้บริษัท Fordstam ของ โรมัน อับราโมวิช มากถึง 2,000 ล้านปอนด์ ซึ่งองค์กรนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นท่อน้ำเลี้ยงและจัดการบัญชีของสโมสรนั่นแหละ ในวันที่ถูกบังคับขายสโมสร เพราะสงครามระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน ก็เป็น ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ ที่ต้องเข้ามาเคลียร์หนี้สินทั้งหมดแทน
พ่วงด้วยการใส่สัญญา ‘Anti Glazer’ หรือ ‘แอนตี้ เกลเซอร์’ บังคับให้เจ้าของใหม่ต้องลงทุน 1,000 ล้านปอนด์ ภายในระยะเวลา 10 ปี เพื่อป้องกันความเป็นปลิงในตัวนักธุรกิจชาวมะกัน
จนถึงตอนนี้ ลองคิดภาพตามนะครับ
เขา ‘สร้าง’ เชลซี ให้เติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม
เขา ‘ให้’ ทุกอย่างกับธุรกิจที่ไม่เคยมีผลกำไรให้กับเขา
เขา ‘เสียสละ’ ละทิ้งอำนาจบารมี เพียงเพื่อรักษาสมบัติชิ้นนี้เอาไว้
เขา ‘อดทน’ จากการถูกกลั่นแกล้งโดยรัฐบาลและสื่ออังกฤษ
หาก เชลซี เปรียบเสมือน "ครอบครัว" เสี่ยหมีก็คงเป็น "คุณพ่อ" ที่ลูกๆยังคงคิดถึงในทุกวัน ไม่ว่าเจ้าของคนใหม่จะเป็นใคร เราก็คงไม่มีวันลืมช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นได้ลง มันไม่มีอีกแล้ว ชายที่สร้างทุกอย่างมากับมือ แต่กลับยอม ‘ก้มหัว’ เพื่อขอบคุณแฟนบอลในวันที่ เชลซี คว้าแชมป์สโมสรโลก
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำที่ไร้วุฒิภาวะอย่าง ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ บ้างก็แจกฟักตอนโดนแฟนบอลแซว, หลายครั้งก็ชอบเข้าไปโวยวายในห้องแต่งตัวนักเตะ, โผล่เข้ามาตอนที่เขากำลังตั้งสมาธิคุยแท็คติคกันอยู่ หรือการลงทุนบ้าอะไร 600 ล้านปอนด์ในขวบปีเดียว จนกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ต่อสัญญา เมสัน เมาท์ ไม่ได้ เพราะ Budget มันแทบไม่เหลือสำหรับการดำรงอยู่ในกฎ FFP
ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน จนถึงตรงนี้ ขอกล่าวแค่ว่า “Thank you for everything, Mr. Abramovich.” ผมรู้แล้วว่าที่ผ่านมา คุณทำเพื่อสโมสรที่คุณรักได้มากขนาดไหน อย่าได้คิดเปรียบเทียบกันเลย เพราะกับ ‘เสี่ยหมี’ แล้ว จะกี่ร้อย ‘โบห์ลี่ย์’ มันก็เทียบไม่ได้.
เขียนโดย What The Fluke
The Lite Team.