อันดับ และคะแนนของทั้งสองทีมก่อนลงสนาม

• ‘ไก่เดือยทอง’ อันดับ 5: เตะ 33 นัด ชนะ 16 เสมอ 6 แพ้ 11 มี 54 คะแนน

• ‘หงส์แดง’ อันดับ 7: เตะ 32 นัด ชนะ 15 เสมอ 8 แพ้ 9 มี 53 คะแนน 

ถึงแม้ว่าจะยังแอบมีหวังในส่วนของพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ตามหลักทฤษฏี แต่ต้องเรียนตามตรงแบบไม่เกรงใจแฟนสัตว์ปีกทั้งสองก็คือ นอกจากจะต้องชนะทุกนัดที่เหลืออยู่แล้ว ยังต้องสาปแช่งให้ นิวคาสเซิล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ถึงครึ่งนึงจากเกมที่เหลืออยู่ ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่เพ้อฝันเกินไป

การพบกันในนัดนี้ ลิเวอร์พูล อยู่ในฟอร์มที่ดีกว่า เมื่อติดเครื่องคว้าชัยมา 3 เกมติด โดยยิงไปได้ถึง 10 ประตู แต่ก็ดูจะสตาร์ท ‘เครื่องจักรสีแดง’ ช้าไปหน่อยเมื่อพูดถึงภาพรวมทั้งฤดูกาล

ส่วน สเปอร์ส ต้องบอกว่า เกิดเหตุการณ์ที่ตลอดชีวิตดูฟุตบอลมา 20 ปี ก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็นกับการ ปลดผู้จัดการทีมชั่วคราว เพราะ คริสเตียน สเตลลินี่ อดีตผู้ช่วยของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่มาคุมขัดตาทัพ ก็ทำเอาขัดใจแฟนบอลซะเหลือเกิน โดยสัปดาห์ที่แล้วถูก นิวคาสเซิล ถล่มเละ 6-1 แต่ทั้งนี้โค้ชชั่วคราวคนใหม่ แต่หน้าเก่าอย่าง ไรอัน เมสัน ก็เปิดตัวได้พอใช้ เมื่อสามารถคัมแบ็ค ตีเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แม้จะโดนนำไปก่อนสองประตูในครึ่งแรกก็ตาม

โควต้า ยูโรป้า ลีก ตามปกติแล้วจะเป็นของอันดับ 5 และแชมป์ FA Cup แต่การที่คู่ชิงถ้วยนี้ เป็นการพบกันระหว่างสองทีมจากเมือง แมนเชสเตอร์ ซึ่งน่าจะได้ไป ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ทำให้สิทธิ์ของแชมป์ถ้วยนี้จะตกเป็นของที่ 6 แทน เพราะฉะนั้นผมก็หวังว่า สเปอร์ส และ ลิเวอร์พูล จะได้กอดคอไปด้วยกัน

อย่างที่เกริ่นตอนต้นว่า คงเป็นเรื่องเพ้อฝันถ้าทั้งสองทีมยังหวังถึง แชมเปียนส์ลีก แต่ถ้าเป็น ยูโรป้า ลีก ผมว่า ‘หงส์ปีกหัก’ กับ ‘ไก่ตาแตก’ ก็ยังพอจะเป็นรางวัลปลอบใจได้ สำหรับซีซั่นอันแสนระกำลำบากนี้นะ

เขียนโดย The Lite Team.