ทั้งสองทีมมีฟอร์มสลับขั้วกันสุดขีดในฤดูกาลนี้ โดยเจ้าบ้าน ลิเวอร์พูล ที่เคยลุ้นแชมป์ 4 ถ้วยเมื่อฤดูกาลที่แล้ว หมดสิทธิ์ลุ้นโทรฟี่ในทุกรายการ แถมไม่ชนะใครมาแล้ว 4 นัดติด จนแฟนบอลแทบจะด่าตั้งแต่เจ้าของทีมยันคนขัดห้องน้ำ ส่วนฝั่ง อาร์เซนอล ที่ร้างรากับพื้นที่ท็อปโฟร์มานานนับตั้งแต่จบที่ 2 เมื่อปี 2015/16 ก็เปลี่ยนเป้าหมายจากขอแค่ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เป็นลุ้นความสำเร็จแบบทุกอย่างอยู่ในกำมือตัวเอง

อาร์เซนอล เหลือโปรแกรมการแข่งขันอีก 9 นัดในมือ ซึ่งตอนนี้พวกเขานำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 5 คะแนน เมื่อคำนวณตามหลักคณิตศาสตร์ระดับอนุบาลของผมแล้ว เท่ากับว่าลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า สามารถแพ้สักนัดได้แบบสบายๆ แต่ถึงอย่างนั้นหากเลือกได้สาวก ‘เดอะ กูนเนอร์’ ก็คงไม่มีใครอยากจะเพลี่ยงพล้ำไปก่อนจะทำศึกสำคัญโดยตรงในช่วงสิ้นเดือนกับ ‘เรือใบสีฟ้า’

ย้อนกลับมาดูฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่หลังจากเปิดบ้านถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0 เมื่อต้นเดือนมีนาคม หลังจากนั้นพวกเขายังไม่ชนะใคร และที่ทุเรศไปกว่านั้นคือเพิ่งยิงได้แค่ 1 ประตู จาก 4 เกมที่ลงเล่น แถมลูกเดียวที่ทำได้ ยังเกิดขึ้นในเกมที่โดนทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สอนวิธีการเตะฟุตบอลอย่างไรให้เป็นแชมป์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอีก

ซึ่งจะว่าไปตอนนี้ ‘กุนซือหัวสวย’ ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็คงได้แต่ภาวนาว่าทีมที่พวกเขาถลุงอัดตูดไปเมื่อ 8 วันที่แล้ว จะกลายร่างจาก ‘เป็ดย่าง’ เป็น ‘หงส์แดงผู้อหังการ’ ในค่ำคืนนี้ เพราะต่อให้พวกเขาจะชนะได้ในทุกนัดที่เหลือ แต่ถ้า อาร์เซนอล ไม่พลาดเพิ่มเลย สุดท้ายก็เป็นได้แค่รองแชมป์อยู่ดี

ใครจะไปรู้ครับว่าบางทีทีมที่ “หมดความหวังนั่งน้ำตาริน ข้าวปลาไม่กิน นั่งรินกินแต่เหล้าขาว” อย่าง ลิเวอร์พูล อาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ก็เป็นได้

เขียนโดย The Lite Team.