อย่างที่แฟนฟุตบอลทั่วทั้งโลกทราบกันดีว่า ‘หงส์แดงผู้อหังการ’ ได้กลายร่างเป็น “ลูกเป็ดจมน้ำ” ในฤดูกาลนี้ มีผลงานย่ำแย่จนหมดลุ้นแชมป์บนแผ่นดินผู้ดีทุกรายการ และคะแนนยังตามหลังพื้นที่ท็อปโฟร์อยู่ไกลๆ

ความหวังของสาวก ‘เดอะ ค็อป’ ในการจะกลับไปเล่น ถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรป นอกจากจะต้องทั้งเชียร์ ทั้งแช่ง เพื่อจะขึ้นไปอยู่อันดับที่ 4 แล้ว ก็อาจมีอีกหนึ่งวิธีทาง คือการ “เป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก” แล้วไปในฐานะแชมป์เก่ามันซะเลย

ก่อนเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายจะเริ่มขึ้น พวกเขาเอาชนะ เพื่อนบ้านน่ารำคาญอย่าง เอฟเวอร์ตัน และ คู่แข่งโดยตรง นิวคาสเซิล ได้ถึง 2-0 ทั้งสองเกม เรียกความมั่นใจก่อนจะเปิด แอนฟิลด์ ต้อนรับคู่แค้นบนเวทียุโรป ที่ผูกปีขาดเอาชนะพวกเขา ทั้งในรอบชิงชนะเลิศปี 2018 รอบก่อนรองชนะเลิศปี 2021 และ รอบชิงชนะเลิศอีกครั้งปี 2022 อย่าง เรอัล มาดริด

ลิเวอร์พูล มี 15 นาทีแรก ในเกมเมื่อคืนวันอังคารอย่างสวยงาม แต่สุดท้ายแล้วนั่นเป็นเพียง ‘ทะเลสงบ ที่คลื่นซึนามิ กำลังจะซัดถล่ม บ้านของพวกเขาให้ไม่เหลือซาก’

โดยหลังจากที่นำสองประตูอย่างรวดเร็ว แต่ในจังหวะที่ วินิซิอุส จูเนียร์ ใช้ความสามารถเฉพาะตัว ล้อกหนีกองหลัง ที่เปรียบเสมือน “กรวยจราจรสีแดง” ในวันนี้ ยิงเสียบเสาไกลไปอย่างสวยงาม ตีตื้นเข้าไปในนาทีที่ 21 ช่วงเวลาหลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลายเป็น ‘โศกนาฏกรรม ณ แอนฟิลด์’ 

เงื่อนไขเดียวที่ ลิเวอร์พูล จะผ่านเข้ารอบต่อไป คือต้องบุกไปชนะ เจ้ายุโรป ที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ถึง 4 ลูก หรือจะแค่ 3 ลูก แล้วไปลุ้นกันต่อในช่วงต่อเวลา ซึ่งวินาทีนี้ คงได้แต่ร้องเพลงของ พี่กบ ทรงสิทธิ์ ว่า “ปาฏิหารย์ไม่มีจริง”

ความพ่ายแพ้หมดรูปของ ‘หงส์แดง’ ในเกมนี้ นอกจากจะเป็นการบอกลา โอกาสเป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 7 แล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ สภาพจิตใจ ว่าทุกคนในทีม แม้แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เอง ยังจะพร้อมสำหรับการแข่งขันในฤดูกาลนี้หรือไม่ ส่วนแฟนบอลคงจะต้อง ทำจิตใจให้เข้มแข็งและร้องเพลง You’ll Never Walk Alone กันต่อไป

เขียนโดย The Lite Team.