ทีมของ มิเกล อาร์เตต้า รอคอยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้ว (กำลังจะครบ) 19 ปี หลังจากซิวถ้วยทองไร้พ่ายในฤดูกาล 2003-2004 โดยปัจจุบัน พวกเขามีโอกาสหยุดเวลาแห่งความหมองหม่นไว้ได้ เมื่อในขณะนี้ ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 5 คะแนน แต่แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด ซึ่งหากคว้าชัยชนะคืนนี้ได้สำเร็จ ก็จะฉีกหนีออกไปเป็น 8 แต้มได้อีกครั้ง

‘ไอ้ปืนใหญ่’ โชว์ฟอร์มร้อนแรงจนต้องร้องเพลงเชียร์ว่า “อย่ามาเล่นกับปืน...ร้อนๆจะไม่ดี” โดยลงสนามไปแล้ว 18 นัด ชนะ 15 เสมอ 2 และแพ้ไปแค่ 1 เกมเท่านั้น

แต่ว่าความปราชัยเดียวที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ของ อาร์เซนอล ดันเกิดขึ้นที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งทำการรีโนทเวทจาก รีสอร์ต แอนด์ สปา ให้กลับมาเป็นสังเวียนหั่นศพทีมเยือนอีกครั้ง

ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปลี่ยนสถานะจากทีมแย่งอันดับ ท็อปโฟร์ ขึ้นมามีสิทธิลุ้นแชมป์ ชนิดที่ทุกฝ่ายมองข้ามไม่ได้ เพราะหากลูกทีมของ เอริค เทน ฮาค บุกมายัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับจ่าฝูงขึ้นซ้ำสองแล้วล่ะก็ ช่องว่างจะลดเหลือเพียงแค่ 5 คะแนน และยังมีเส้นทางให้ได้ลุ้นกันต่ออีกครึ่งฤดูกาลเต็มๆ

นี่ยังไม่รวมถึงการที่ ‘ปืนใหญ่’ และ ‘เรือใบสีฟ้า’ ยังไม่ได้พบกันเองเลยสักครั้ง โดยกว่าจะเตะกันนัดแรกก็ปาไปหลังวันวาเลนไทน์ ซึ่งหากผลสกอร์ระหว่างทั้งสองทีมเป็นใจขึ้นมา แฟนๆของ ‘ปีศาจแดง’ อาจได้เตรียมลูบปาก พาภรรเมียไปกินข้าวแบบสบายใจ พร้อมปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 10 ปี ไม่ต้องรอนานเหมือนบางทีมที่ใจจดใจจ่อกว่า 30 ปี ถึงจะได้มา

เกมใหญ่ในค่ำคืนนี้อาจเร็วเกินไป หากจะบอกว่าเป็นการตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ไม่ว่าผลจะจบลงอย่างไร ล้วนแต่มีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของทั้ง อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สำหรับการกลับมาเป็นเบอร์หนึ่งของเกาะอังกฤษอีกครั้ง หลังจากทั้งทั้งสองทีมรอมานานร่วมทศวรรษ.

เขียนโดย The Lite Team.